การเติบโตของเทสล่า (Tesla) ในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมานับเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในปัจจุบัน จากจุดเริ่มต้นของบริษัทฯ ในปี 2003 ด้วยเป้าหมายในการเปลี่ยนมุมมองและพัฒนาระบบอัตโนมัติของรถยนต์ไฟฟ้า ปัจจุบันเทสล่าได้กลายเป็นบริษัทยานยนต์และพลังงานสะอาดที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ที่ได้พัฒนา AI และ Cloud Computing เพื่อนำมาประยุกต์ในกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ
จึงไม่แปลกใจที่เทศล่าจะกลายเป็นแบรนด์ที่ทุกครัวเรือนรู้จัก จากการเป็นผู้บุกเบิกและผู้นำในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งยังได้ขยายขอบเขตธุรกิจไปสู่การผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่และแผงโซลาร์เซลล์ด้วย
ผลการผลิตและยอดขายทั่วโลกของ Tesla ในไตรมาสแรกของปี 2022 ถือว่าไม่ทำให้ผิดหวัง การส่งมอบผลิตภัณฑ์ได้สร้างสถิติรายไตรมาส ในขณะที่การผลิตอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับสถิติที่เคยบันทึกไว้ ซึ่งนับเป็นข่าวดีเมื่อพิจารณาถึงความท้าทายของสภาพเศรษฐกิจโลกและอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่มีการคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ทั่วโลกทุกแบรนด์จะลดลงเหลือเพียงไม่ถึง 70 ล้านคันในปี 2021 อย่างไรก็ตาม Tesla ได้เพิ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดยรวมในไตรมาสที่ 1 ประมาณ 69% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น เป็น 305,407 คัน แต่ก็ต่ำกว่าสถิติ 305,840 คันในไตรมาส 4 ปี 2021 เพียงไม่กี่ร้อยคัน จากในปี 2017 ปริมาณการผลิตเฉลี่ยรายไตรมาสของ Tesla อยู่ที่เพียง 25,000 คันเท่านั้น ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้มีการเติบโตของแบรนด์สูงที่สุดแม้ในด้านที่ไม่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยแสดงให้เห็นการเติบโตปีต่อปี (Year-on-Year) ที่ 184% ในปี 2021
คำถามที่น่าสนใจก็คือ เมื่อเห็นตัวเลขปี 2017 เทียบกับสถิติปี 2021 แล้ว Tesla ประสบความสำเร็จในการหลุดพ้นจาก "Production Hell" จนได้รับฉายา "King of Electirc Vehicles" ได้อย่างไร? ฉะนั้น เรามาสำรวจอิทธิพลต่อการเติบโตของ Tesla ด้านล่างกันเลย
การพัฒนาการผลิตอัจฉริยะของเทสล่า
คำตอบสำหรับคำถามที่ว่า Tesla จัดการตัวเลขที่ยอดเยี่ยมข้างต้นได้อย่างไร คือ การผลิตอัจฉริยะและเทคโนโลยีสมัยใหม่
โดยเทสล่าได้สร้างโรงงาน Gigafactory ทั้งหมด 6 แห่งทั่วโลกตั้งแต่ปี 2014 เพื่อลดต้นทุนเซลล์แบตเตอรี่ พร้อมได้นำระบบโรงงานอัจฉริยะมาใช้ โดยเทคโนโลยีต่างๆ เช่น อุปกรณ์ เซนเซอร์ และหุ่นยนต์ได้เชื่อมต่อและทำงานร่วมกันภายในระบบเดียว ช่วยให้การผลิตรถยนต์และแบตเตอรี่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การรวมการผลิต การประกอบ และขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการไว้ภายใต้โรงงานเดียวกัน ทำให้บริษัทฯ สามารถผลิตสินค้าได้ในอัตราที่มากขึ้น ในขณะที่ลดต้นทุนที่มักเกิดจากการใช้บริการผลิตภายนอก นอกจากนี้ หลังคาขนาดใหญ่ของโรงงานยังได้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งช่วยให้โรงงานสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้เอง
ทั้งนี้ เป้าหมายสูงสุดของ Tesla คือ การสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์ เมื่อใดก็ตามที่รถยนต์ของ Tesla เข้าสู่โหมดขับขี่อัตโนมัติ รถจะส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ระบบ Cloud ซึ่ง Tesla สามารถนำข้อมูลไปปรับปรุงฟังก์ชันการทำงาน และถูกส่งกลับไปยังรถยนต์ผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์นั่นเอง โดยเมื่อไม่กี่ปีก่อน เกิดเหตุการณ์ที่มีปัญหาความร้อนสูงเกินไปทำให้เครื่องยนต์ทำงานขัดข้อง ซึ่งเทสล่าก็ได้ปรับปรุงซอฟต์แวร์เพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว เนื่องจาก Tesla ได้ปรับปรุงอาณาเขตของตนในโลกเทคโนโลยีแล้ว จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะใช้คลาวด์และ AI สำหรับความสามารถในการขับขี่อัตโนมัติ
แน่นอนว่าไม่ใช่ผู้ผลิตทุกรายจะเป็นเหมือนบริษัทเทสล่า ที่มีขนาดการดำเนินงานขนาดใหญ่ หรือมีทรัพยากรจำนวนมาก แต่ Cloud Computing ยังคงเป็นประโยชน์สำหรับผู้ผลิตทุกราย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าสู่ความดิจิทัลอย่างเต็มตัวและปรับเปลี่ยนสายการผลิตของตนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
บทบาทของ Cloud ในการผลิต
สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ คือ อุตสาหกรรมการผลิตไม่ได้ถูกยกเว้นจากอุตสาหกรรม 4.0 ในทางกลับกัน การผลิตจะยังคงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและความต่อเนื่องในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การเติบโตของอัตราการผลิตและธุรกิจที่พยายามรวมความยั่งยืนในกระบวนการผลิต ซึ่งต่อมาต้องการให้การผลิตในฐานะอุตสาหกรรมยังคงทันสมัยด้วยตัวเอง ระบบ Cloud จึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ผู้ผลิตสามารถประมวลผล จัดเก็บ และสำรองข้อมูลจำนวนมากที่พวกเขารวบรวม การใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชัน และ AI สามารถเชื่อมโยงกับระบบ Cloud เพื่อให้เกิดการรวมศูนย์และใช้งานได้ง่าย
นอกจากนี้ การพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น หุ่นยนต์ขั้นสูง, การพิมพ์, 3 มิติ, IoT และอื่นๆ ยังเปิดพื้นที่ใหม่ให้ผู้ผลิตได้สำรวจโอกาสทางธุรกิจ ทั้งนี้ Sangfor มีโซลูชันสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตที่สามารถช่ววยนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่กระบวนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ อ่านต่อเกี่ยวกับเรื่องราวความสำเร็จของหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิต
โซลูชันไฮบริดคลาวด์ (Hybrid Cloud) ยังช่วยให้ผู้ผลิตสามารถผสานโครงสร้างพื้นฐานของตนกับระบบคลาวด์ เพื่อให้สามารถใช้ทั้งฮาร์ดแวร์และโซลูชันบนคลาวด์สำหรับการพัฒนา แล้วควรคำนึงเพิ่มเติมด้วยว่า ความปลอดภัยทางไซเบอร์และการป้องกันข้อมูลนั้นเป็นประโยชน์ที่สำคัญของโซลูชันไฮบริดคลาวด์ ซึ่งจำเป็นสำหรับทุกองค์กรในการปกป้องข้อมูลและรักษาความปลอดภัยเครือข่าย การใช้ ไฟร์วอลล์ (Firewall) รุ่นใหม่อย่าง Next-Generation Firewall (NGFW ) และระบบป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ต่างๆ เช่น EDR, MDR ช่วยป้องกันการโจมตีจาก Ransomware และ Phishing รวมถึงระบบ Data Loss Prevention ที่ช่วยปกป้องข้อมูลสำคัญจากการสูญหาย
พูดได้ว่า โซลูชันคลาวด์กำลังกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ผลิตที่ต้องการก้าวทันเทคโนโลยีที่กำลังสร้างคุณค่าในโลก
ทำไมต้องเลือก Sangfor?
โซลูชันคลาวด์ของ Sangfor เป็นนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นจากแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานแบบ Hyper-Converged และความสามารถด้านความปลอดภัยชั้นนำของโลก เรานำเสนอ Private Cloud ที่ปลอดภัย, Managed Cloud ที่ยืดหยุ่น และ Hybrid cloud ที่เสถียร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างครอบคลุม
อีกทั้งจากสถาปัตยกรรมคลาวด์ที่มีเสถียรภาพสูง ระบบ Cloud ของ Sangfor ไม่เพียงมอบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่เรียบง่าย แต่ยังมอบแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ใช้งานง่าย และเน้นการทำธุรกิจเป็นศูนย์กลาง โดยผู้ผลิตหลายรายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและ EMEA เช่น Samsung, Toshiba และ Sony ได้นำโซลูชันคลาวด์ของ Sangfor มาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลแบบดั้งเดิมและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต
ติดต่อเราเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และโซลูชัน Sangfor สำหรับความต้องการด้านคลาวด์ของคุณ