ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา สังคมได้หันมาพึ่งพาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเพื่อการดำเนินงาน ทั้งการทำในธุรกิจ ในหน่วยงานรัฐบาล การดูแลสุขภาพ และเกือบทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าการยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานให้อยู่ในระดับสูงสุด คือ การประยุกต์ใช้โซลูชัน IT ที่ล้ำสมัยในปัจจุบัน
คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่กำลังเข้ามามีบทบาทในการดำเนินงานมากขึ้น ซึ่งคลาวด์คอมพิวติ้งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานไอที (IT Infrastructure) สำหรับเซิร์ฟเวอร์ภายนอก เพื่อต้องสยองต่อความต้องการขององค์กร ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถเลือกบริการคลาวด์ (Cloud Platform) แทนการลงทุนในการสร้างฐานข้อมูล พัฒนาซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ด้วยตนเอง โดยมีบริการหลากหลายที่นำเสนอผ่านคลาวด์รวมถึงเซิร์ฟเวอร์ ซอฟต์แวร์ การวิเคราะห์ การจัดเก็บข้อมูล ฐานข้อมูล การเชื่อมต่อเครือข่าย และอื่นๆ อีกมากมาย
ปัจจุบันนี้ อุตสาหกรรมคลาวด์คอมพิวติ้งได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด และคาดว่ามีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น เมื่อบริษัทต่างๆ หามาใช้งานโซลูชัน Computing Solutions ที่สามารถเข้าถึงได้จากระยะไกลมากขึ้น ซึ่งมอบความเร็ว ความสามารถในการปรับขนาด และความยืดหยุ่นที่สูงขึ้น โดยจากรายงานหนึ่ง คาดการณ์ว่าขนาดตลาดคลาวด์คอมพิวติ้งทั่วโลก (Global Cloud) จะเติบโตจาก 445.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021 เป็น 947.3 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2026 เลยทีเดียว
Deloitte ได้สอบถามกลุ่มผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ 400 คน และถามว่า พวกเขาวางแผนจะลงทุนในเทคโนโลยีใดมากที่สุด ซึ่ง 36% ของกลุ่มผู้ทำแบบสอบถามยืนยันว่าพวกเขาวางแผนที่จะลงทุนในคลาวด์คอมพิวติ้ง
แหล่งที่มา: https://www.statista.com/statistics/1291081/most-popular-technologies-for-investment-cre-globally/
ทางสำนักข่าว GlobeNewswire รายงานว่า ตลาดคลาวด์คอมพิวติ้งทั่วโลกกำลังถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้าโดยเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น Big Data, Artificial Intelligence) และเทคโนโลยี Machine Learning ในขณะที่การขยายตัวของบริการคลาวด์คอมพิวติ้งกำลังถูกผลักมากดันขึ้น เนื่องจากความต้องการในการป้องกันข้อมูล และการกู้คืนจากภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรับรองความสามารถในการดำเนินงาน และการปฏิบัติตามกฎข้อกำหนด
ธุรกิจจำนวนมากขึ้นกำลังตัดสินใจที่จะย้ายไปยังคลาวด์ (Cloud) เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายและความซับซ้อนในการเป็นเจ้าของและการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานไอทีด้วยตัวเอง นอกจากนี้ Enterprise Cloud Platform ยังคงเป็นโมเดลการประมวลผลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจส่วนใหญ่
Enterprise Cloud คืออะไร?
Enterprise Cloud หรือคลาวด์ระดับองค์กร คือ รูปแบบสถาปัตยกรรมไอทีที่ผสมผสานความยืดหยุ่นของแพลตฟอร์ม Public Cloud เข้ากับความปลอดภัยและระดับการป้องกันเทียบเท่าแพลตฟอร์ม Private Cloud ซึ่งมอบประสบการณ์ที่ราบรื่นแก่ทั้งองค์กรและผู้บริโภค
นอกจากนี้ แพลตฟอร์มคลาวด์ระดับองค์กรยังช่วยให้ธุรกิจปรับขนาดทรัพยากรตามความต้องการ และให้สามารถลงทุนในสิ่งด้านอื่นๆ ได้มากขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีความคล่องตัว และมีอิสรภาพในการดำเนินงานมากขึ้น
ข้อดีของ Enterprise Cloud สำหรับธุรกิจและองค์กร
คลาวด์คอมพิวติ้งนำเสนอข้อดีมากมายแก่ธุรกิจ โดยในขณะที่เทคโนโลยีดิจิทัลก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด องค์กรต่างๆ ต้องการการเข้าถึงทรัพยากรการคำนวณหลัก 3 อย่างที่ยืดหยุ่น ได้แก่ กำลังประมวลผล หน่วยความจำคอมพิวเตอร์ และที่เก็บข้อมูล ซึ่ง Cloud สามารถนำเสนอแอปพลิเคชันการคำนวณที่เพิ่มขึ้น พร้อมข้อดีหลายประการ ดังนี้
- ความคุ้มค่า - การดูแลเซิร์ฟเวอร์อาจทำให้องค์กรมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าการบำรุงเครื่องจักร ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ไปจนถึงปริมาณไฟฟ้าจำนวนมากที่จำเป็นต่อการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งการอัปเกรดระบบและการซ่อมแซมฮาร์ดแวร์ก็อาจมีราคาสูงเช่นกัน รวมถึงค่าจ้างที่จำเป็นสำหรับการว่างจ้างผู้เชี่ยวชาญ ในทางกลับกัน ทรัพยากรบนคลาวด์คอมพิวติ้งสามารถนำเสนอทางเลือกที่คุ้มค่ามากกว่า
- ความปลอดภัย - การว่าจ้างผู้ให้บริการคลาวด์ภายนอกสามารถช่วยเพิ่มระดับความปลอดภัยให้กับข้อมูลและธุรกิจ โดยเซิร์ฟเวอร์ข้อมูลในสถานที่ขององค์กรอาจทำให้ข้อมูลของคุณอยู่ในตำแหน่งที่ภัยคุกคามสามารถเข้าถึงได้ ทั้งในแง่ของภัยคุกคามทางกายภาพหรือโจรกรรมข้อมูล เช่น มัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) ซึ่ง Cloud Computing นั้นรับประกันการสำรองข้อมูลที่ปลอดภัยของไฟล์ที่จัดเก็บและข้อมูลที่มีความอ่อนไหวทั้งหมด นอกจากนี้ระบบ EDR ยังช่วยเพิ่มระดับความปลอดภัยของระบบคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การอัปเดตอัตโนมัติ - การใช้งาน Cloud ช่วยให้มั่นใจได้ว่าโครงสร้างพื้นฐานไอทีจะได้รับการอัปเดตโดยอัตโนมัติ เพื่อลดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีล่าสุดและฟีเจอร์ที่ล้ำสมัยที่สุด ณ ขณะนั้น
- ความสามารถในการปรับขนาด - ธุรกิจของคุณสามารถปรับขนาดทรัพยากรตามความต้องการในแต่ละช่วง โดยเลือกที่จะเพิ่มหรือลดขนาดได้ทุกเมื่อ ช่วยมอบความยืดหยุ่น และประสิทธิภาพด้านการรักษาต้นทุนได้เป็นอย่างดี
- การเข้าถึงที่สะดวกสบายขึ้น - สภาพแวดล้อม Cloud มอบความสามารถในการแบ่งปันข้อมูลและสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเพื่อนร่วมงาน นายจ้าง หรือลูกค้าทั่วโลกแบบเรียลไทม์ โดยคลาวด์เน้นหนักเรื่องการรักษาความปลอดภัย เช่น ไฟร์วอลล์ (Firewall) หรือ Next-Generation Firewall (NGFW) เพื่อช่วยป้องกันเครือข่ายระยะไกลจากภัยคุกคามหรือมัลแวร์ต่างๆ
- สภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่น - การระบาดครั้งใหญ่ของไวรัส COVID-19 ทำให้หลายคนคุ้นเคยกับแนวคิดการทำงานจากบ้าน และในบางแง่มุม WFH ถือเป็นรูปแบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพสำหรับบางบริษัท โดยในปัจจุบันสภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Work) กำลังเป็นที่นิยม ซึ่งอนุญาตให้พนักงานทำงานจากทั้งจากที่บ้านและที่สำนักงานขององค์กร คลาวด์คอมพิวติ้งช่วยในด้านนี้ได้ด้วยการให้พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลของบริษัทที่จำเป็นต่อการทำงาน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม
- การกู้คืนจากภัยพิบัติ - ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การโจมตีทางไซเบอร์ หรือเหตุการณ์ไฟฟ้าดับอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทุกองค์กรจึงจำเป็นต้องมีแผนสำรอง เพื่อให้แน่ใจว่าเวลาที่ระบบล่มจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานทางธุรกิจและข้อมูลได้รับการปกป้องอย่างต่อเนื่อง ที่สามารถทำได้ง่ายขึ้นโดยการนำ Cloud Computing มาใช้ ซึ่งตัวเลือกการกู้คืนจากภัยพิบัติ และฟีเจอร์ Data Loss Prevention สามารถรับรองได้ว่าข้อมูลสำคัญจะไม่สูญหาย หรือใช้งานระบบ MDR เพื่อให้องค์กรสามารถตรวจสอบเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย และโต้ตอบภัยคุกคามอย่างรวดเร็ว
- ความพึงพอใจของผู้ใช้ - แอปพลิเคชันที่ใช้คลาวด์ทำให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าขององค์กรจะได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่น นอกจากนี้ยังแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าบริษัทของคุณลงทุนในเทคโนโลยีล่าสุด ซึ่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ของธุรกิจของคุณอีกด้วย
Enterprise Cloud ประเภทต่างๆ มีอะไรบ้าง?
เมื่อธุรกิจขึ้นเลือกที่จะย้ายไปสู่คลาวด์คอมพิวติ้ง ก็มีความจำเป็นต้องเลือกโมเดล Enterprise Cloud ที่ตอบสนองความต้องการ เพราะโมเดลคลาวด์ที่เลือกจะเปิดการกำหนดการดำเนินการของแพลตฟอร์มและการเข้าถึงระบบ โดยมี 4 ประเภทหลัก ดังนี้
1. Public Cloud หรือคลาวด์สาธารณะ
Public Cloud คือ โมเดลคลาวด์ที่บุคคลที่สามหรือ Third-Party เป็นผู้ให้บริการคอมพิวติ้งและโครงสร้างพื้นฐานไอที ทำให้คลาวด์คอมพิวติ้งสามารถเข้าถึงได้โดยทุกคน และเสนอการใช้โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่สามารถแบ่งปันกับบริษัทอื่นๆ หรือผู้เช่าผ่านทางอินเทอร์เน็ต
ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มคลาวด์สาธารณะอาจเสนอบริการในรูปแบบที่ต่างกัน เช่น Infrastructure-as-a-Service (IaaS), Platform-as-a-Service (PaaS) หรือ Software-as-a-Service (SaaS) ดังนั้น บริษัทจึงมีความยืดหยุ่นที่มากขึ้น และลดความจำเป็นในการโฮสต์เซิร์ฟเวอร์ข้อมูลและบริการไอทีภายในองค์กร โดยผู้ใช้คลาวด์สาธารณะสามารถเช่าศูนย์ข้อมูล เข้าใช้งานซอฟต์แวร์ เครื่องมือพัฒนาแอปพลิเคชัน หรือจัดเก็บข้อมูลได้อย่างง่ายดาย
ธุรกิจมักจะใช้ประโยชน์จากบริการคลาวด์สาธารณะสำหรับการจัดเก็บข้อมูลที่ไม่ต้องเข้าถึงบ่อยๆ หรือสำหรับแอปพลิเคชันที่มีความละเอียดอ่อนน้อยกว่า ซึ่งมีการใช้งานที่ผันผวนไม่แน่นอน หรืออีกทางเลือกหนึ่ง แพลตฟอร์ม Private Cloud ก็เสนอบริการคลาวด์ที่โฮสต์ภายในเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวของบริษัทด้วยเช่นกัน
2. Private Cloud หรือคลาวด์ส่วนตัว
Private Cloud เป็นประเภทสถาปัตยกรรมที่โครงสร้างพื้นฐานไอทีถูกโฮสต์แบบส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นที่ศูนย์ข้อมูลขององค์กรเอง โฮสต์โดยบริษัท Third-Paty หรือโฮสต์ผ่านผู้ให้บริการคลาวด์ส่วนตัว โดยทรัพยากรทั้งหมดที่จัดเตรียมโดยคลาวด์ส่วนตัวมีการเข้าถึงแบบแยกส่วน (Isolated Access) หรือก็คือมีลูกค้าเพียงรายเดียวที่สามารถเข้าถึงได้ จึงมอบการควบคุมที่มากขึ้น และการรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ แต่อาจอาศัยความเชี่ยวชาญด้านไอทีที่สูงกว่าคลาวด์สาธารณะ
3. Hybrid Cloud หรือคลาวด์แบบไฮบริด
โดยนิยาม Hybrid Cloud เป็นการผสมผสานระหว่าง Private และ Public Cloud มอบโมเดลการประมวลผลที่และยืดหยุ่นสูง โดยการรวมกันของการออกแบบคลาวด์คอมพิวติ้งช่วยให้บริษัทสามารถเลือกสภาพแวดล้อมคลาวด์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละเวิร์กโหลดและสลับระหว่างบริการตามที่ต้องการ แพลตฟอร์มลักษณะนี้ถือเป็นโซลูชันที่ราบรื่นและควบคุมได้ง่าย พร้อมความสามารถในการปรับขนาดที่เพิ่มขึ้นตามต้องการ ความปลอดภัยที่สูงขึ้น และการโอนย้ายระหว่างระบบที่มีประสิทธิภาพ
Enterprise Hybrid Cloud จึงได้กลายเป็นโซลูชันอันดับต้นๆ สำหรับองค์กรส่วนใหญ่ที่สนใจในความง่ายของการจัดการ ความยั่งยืน และประสิทธิภาพอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม องค์กรบางแห่งอาจต้องการความแตกต่างที่ชัดเจนมากขึ้นในบริการแพลตฟอร์มคลาวด์
4. Multi-Cloud มัลติ-คลาวด์
Multi-Cloud เป็นการใช้งานระบบคลาวด์คอมพิวติ้งหลายระบบ ซึ่งต่างจาก Hybrid ตรงที่การกำหนดค่า Multi-Cloud ไม่ได้เป็นการใช้ผู้ให้บริการเพียงรายเดียวสำหรับการโฮสต์คลาวด์ แต่ใช้ผู้ให้บริการหลายรายแทน ซึ่งอาจรวมถึงทั้งคลาวด์ท้องถิ่น (Local Cloud) และคลาวด์ระดับโลก (Global Cloud)
โมเดลคลาวด์ลักษณะนี้ถูกใช้เพื่อสำรองข้อมูลจำนวนมาก และมั่นใจได้ว่าข้อมูลของคุณจะปลอดภัยมากกว่า เมื่อกระจายอยู่ในผู้ให้บริการคลาวด์ที่แตกต่างกัน แทนที่จะพึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์เพียงรายเดียวสำหรับธุรกิจทั้งหมด
จาก Cloud First สู่ Cloud Smart สรุป Whitepaper จาก Gartner
ความก้าวหน้าของคลาวด์คอมพิวติ้ง ได้ผลักดันให้บริษัทส่วนใหญ่นำแนวคิด "คลาวด์เฟิร์ส" (Cloud First) มาใช้งาน คือ การที่องค์กรเลือกที่จะมุ่งไปสู่การใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้ง โดยไม่พิจารณาประโยชน์ของ Private Cloud หรือ Cloud แบบ On-Premise
การเคลื่อนไหวลักษณะนี้เป็นเพียงการเพิ่มความลังเลในการบริการแพลตฟอร์มคลาวด์เท่านั้น จึงทำให้กลยุทธ์ "คลาวด์สมาร์ท" (Cloud Smart) เข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเป็นการค้นหาบริการ Cloud Computing เหมาะสมกับเป้าหมายทางธุรกิจ ก่อนที่จะผูตัดสินใจใช้บริการแบบผูกมัด ซึ่งผลการสำรวจ The Cloud Strategy Cookbook ของ Gartner ปี 2021 ได้เผยวิธีการสร้างกลยุทธ์คลาวด์ที่เชื่อมโยงกลยุทธ์ทางธุรกิจกับการดำเนินการและการโอยย้ายไปยังคลาวด์เอาไว้
เอกสารของ Gartner ในปี 2020 โดย Henrique Cecci ระบุว่า วัตถุประสงค์หลักของ Cloud Smart คือ สร้างความมั่นใจในการนำความคิดริเริ่มด้านคลาวด์มาใช้สอดคล้องกับลำดับองค์กรและสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจ โดยมี Journey ตามลำดับขั้นตอน ดังนี้
- ปิดช่องว่างระหว่างความคาดหวังเรื่องคลาวด์และความเป็นจริง - บริษัทจำเป็นต้องระบุช่องว่างและอุปสรรคที่อาจขัดขวางประยุกต์ใช้คลาวด์ เช่น การขาดทรัพยากร ข้อจำกัดทางเทคนิค และการขาดทักษะ เพื่อช่วยกำหนดแนวทางที่สมเหตุสมผลสำหรับธุรกิจ ก่อนที่จะผูกมัดกับแพลตฟอร์ม Cloud
- สร้างกลยุทธ์การกำกับดูแลแบบอัตโนมัติ - กลยุทธ์การกำกับดูแลแบบอัตโนมัติจำเป็นต้องได้รับการดำเนินการในธุรกิจ เพื่อปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของคลาวด์คอมพิวติ้ง และเพื่อป้องกันความเสี่ยงการละเมิดความปลอดภัยและการสูญเสียข้อมูล
- ปรับใช้ Could Smart แบบ “FEVER” (Faster, Easier, Valuable, Efficient และ Repeat) - จัดลำดับความสำคัญของเวิร์กโหลดที่จะย้ายไปยังคลาวด์โดยใช้กระบวนการเลือกแบบ "วงกลมเต็ม" ซึ่งช่วยให้การเคลื่อนย้ายระบบ (Migration) เป็นไปอย่างเหมาะสมต่อสามารถในการส่งมอบขององค์กร
- มุ่งเน้นความเรียบง่ายแบบ “KISS” (Keep It Simple and Safe) - ลดความซับซ้อนในการเคลื่อนย้ายเข้าสู่คลาวด์ เพื่อปรับปรุงจุดโฟกัส เพิ่มความเร็ว ประสิทธิภาพด้านต้นทุน และความปลอดภัย
- ทบทวนบริบทขององค์กรและความสามารถของคลาวด์ - เลือก Cloud ที่สอดคล้องกับองค์กรของคุณ รวมถึงปัจจัยด้าน Proximity และระเบียบข้อบังคับ เพื่อให้มั่นใจถึงการเดินทางสู่คลาวด์ที่ประสบความสำเร็จ
ด้วยตัวเลือก Cloud Computing ที่มีอยู่มากมายในปัจจุบัน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่องค์ต้องคัดเลือกผู้ให้บริการที่เข้าใจอุตสาหกรรม และพัฒนานวัตกรรมเกี่ยวกับคลาวด์ที่เหมาะกับความต้องการมากที่สุด
โซลูชัน Enterprise Cloud ของ Sangfor
Sangfor นำเสนอ Cloud Framework ที่มุ่งเน้นไปยังการเตรียมพร้อมเชิงกลยุทธ์ เช่น การปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกัน หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด ลดการผูกมัดกับผู้ให้บริการรายเดียว และการระบุปัญหาด้านต้นทุน
1. โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จของ Sangfor (Hyper-Converged Infrastructure หรือ HCI) เป็นแพลตฟอร์มรุ่นที่ 3 ที่เป็นนวัตกรรมซึ่งรวมการประมวลผล การจัดเก็บ เครือข่าย และความปลอดภัยบน Software Stack ให้โซลูชันศูนย์ข้อมูลที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์แบบ 1-Stop ที่เรียบง่าย และปรับแต่งมาสำหรับแอปพลิเคชันที่สำคัญทางธุรกิจ HCI สามารถลด TCO ได้ถึง 80% ซึ่งนำไปสู่ประโยชน์ทางธุรกิจที่สำคัญสำหรับองค์กร
2. แพลตฟอร์มคลาวด์ Sangfor เป็นแพลตฟอร์ม Cloud Computing อัตโนมัติที่เชื่อถือได้ ซึ่งลดความซับซ้อนของการสร้าง และการจัดการศูนย์ข้อมูลคลาวด์ผ่านการทำงานที่เป็นมาตรฐานและเป็นกระบวนการ
3. บริการ Managed Cloud Service มอบศูนย์ข้อมูลที่กระจายตัวทั่วโลก ที่ให้ความสะดวกและความยืดหยุ่นของ Public Cloud ซึ่งมาพร้อมความปลอดภัย การควบคุม และบริการมืออาชีพในระดับเดียวกับ Private Cloud
4. Sangfor Hybrid Cloud เป็นโซลูชันคลาวด์แบบครบวงจร ขับเคลื่อนโดยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแบบ Next Generation Converged Digital Infrastructure หรือ NG-CDI ซึ่งช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการออกแบบ แบ่งส่วนแอปพลิเคชัน และการวาง Workload เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมูลค่าของการนำคลาวด์มาใช้งาน
5. Sangfor Disaster Recovery Management (DRM) นำเสนอโซลูชันการกู้คืนจากภัยพิบัติที่ครอบคลุมระหว่าง Sangfor HCI และ MCS ซึ่งรวมถึงโซลูชันการกู้คืนจากภัยพิบัติแบบ Active-Passive และโซลูชันคลัสเตอร์แบบยืดขยาย Active-Active เพื่อความต่อเนื่องในการดำเนินการทางธุรกิจ
เรื่องราวความสำเร็จของคลาวด์ระดับองค์กรของ Sangfor
หลายองค์กรได้เห็นประโยชน์ทางธุรกิจที่พิสูจน์แล้วจากการใช้โซลูชันคลาวด์และความปลอดภัยของ Sangfor เพื่อให้ประสบความสำเร็จกับคลาวด์ระดับองค์กร คุณต้องมีเครื่องมือและการสนับสนุนที่เหมาะสม นั่นคือเหตุผลที่ Sangfor ให้บริการโซลูชันคลาวด์คอมพิวติ้งที่ดีที่สุด – แต่อย่าเชื่อเราเอง ให้เรื่องราวความสำเร็จของลูกค้าของเราพูดถึงความซื่อสัตย์ของผลิตภัณฑ์และบริการของเรา:
- คณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติในปากีสถาน (National Information Technology Board in Pakistan) ได้ใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จ (HCI) และแพลตฟอร์ม Cloud ของ Sangfor ซึ่งขยายการจัดเก็บข้อมูล ปรับปรุงประสิทธิภาพ และความคล่องตัว
- Universiti Malaysia Pahang ใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จ (HCI) และโซลูชัน Disaster Recovery Management ของ Sangfor
- PT JFE Steel Galvanizing Indonesia ใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จ (HCI) ของ Sangfor สำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ถูกรบกวนและมีประสิทธิภาพ
- ท้ายที่สุด กระทรวงการพัฒนาชนบทของมาเลเซียพบว่าโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จ (HCI) มีประสิทธิภาพสูง และเหมาะสมอย่างยิ่งในการรวมเข้ากับระบบของพวกเขา
คำถามที่พบบ่อย
คลาวด์ระดับองค์กร (Enterprise Cloud) คือ รูปแบบสถาปัตยกรรม IT ที่ผสมผสานความยืดหยุ่นของแพลตฟอร์มคลาวด์สาธารณะกับความปลอดภัยและการป้องกันของแพลตฟอร์มคลาวด์ส่วนตัว มอบประสบการณ์การใช้งานที่มีประสิทธิภาพและราบรื่น ทั้งสำหรับองค์กรและผู้บริโภค
คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) คือ การใช้เซิร์ฟเวอร์ของบุคคลที่สามสำหรับการดำเนินงานด้าน IT ภายในองค์กร
มีโมเดล Cloud ในปัจจุบันมี 4 รูปแบบ ได้แก่ คลาวด์ส่วนตัว (Private Cloud), คลาวด์สาธารณะ (Public Cloud), คลาวด์แบบไฮบริด (Hybrid Cloud), และมัลติ-คลาวด์ (Multi-Cloud)
ด้วยความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม คลาวด์คอมพิวติ้งได้กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับธุรกิจ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่ง และให้บริการลูกค้า ซึ่งให้ข้อได้เปรียบหลายประการสำหรับโมเดลธุรกิจยุคปัจจุบัน
แนะนำให้เลือกใช้กลยุทธ์ Cloud Smart เมื่อเลือกแพลตฟอร์มคลาวด์ให้กับองค์กรของคุณ และพิจารณาความต้องการของธุรกิจร่วมด้วย โดย Sangfor ให้บริการตัวเลือกคลาวด์คอมพิวติ้งหลากหลาย ที่ให้ความสำคัญกับบริษัทของคุณเป็นอันดับแรก
Frequently Asked Questions
An enterprise cloud is an IT architecture model that combines the flexibility of a public cloud platform with the security and protection of a private cloud platform. It provides a high-performance and seamless experience for both management and consumers.
Cloud computing is the use of third-party servers for IT operations within an organization.
There are 4 cloud platform models available: Private cloud, public cloud, hybrid cloud, and multi-cloud.
With the advances made in the industry, cloud computing has become an essential aspect for most businesses to stay ahead and prioritize their clients – providing multiple advantages for the modern-day business model.
It’s important to employ smart cloud strategies when choosing a cloud computing platform to suit your organization and to consider the needs of your business. Sangfor provides a range of cloud computing options that put your company first.