ในโลกดิจิทัลปัจจุบันที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นข้อความอีเมลฟิชชิง (Phishing) หรือการเจาะช่องโหว่เข้าสู่ระบบเครือข่าย และไวรัสที่มากับไฟล์ต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต การเข้าใจวิธีการทำงานของ “แฮกเกอร์” คือ กุญแจในการปกป้องข้อมูลสำคัญขององค์กรและข้อมูลส่วนบุคคล การรู้เท่าทันเทคนิคและกลยุทธ์ที่กลุ่มแฮกเกอร์ใช้ จะช่วยให้สามารถวางมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ โดยบทความนี้จะพาคุณเจาะลึกโลกของเว็บไซต์แฮกเกอร์และวิธีต่างๆ ในการป้องกันตัวจากการโจมตีทางไซเบอร์

ทำความรู้จัก “แฮกเกอร์” คือใคร

รู้ทันแฮกเกอร์ และกลยุทธ์ที่ถูกใช้ในการขโมยข้อมูลส่วนตัว

แฮกเกอร์ (Hacker) คือ ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการเจาะระบบคอมพิวเตอร์ โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับระบบปฏิบัติการและโปรแกรมต่างๆ ในการค้นหาช่องโหว่ของระบบ โดยมีทั้งกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีเจตนาดีและเจตนามุ่งร้าย ซึ่งขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการใช้ความสามารถนั้น

ในความเป็นจริง แฮกเกอร์ไม่ได้เป็นเพียงผู้ที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องมืดอย่างที่มักถูกนำเสนอในสื่อบันเทิง แต่พวกเขาอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) ที่ทำงานให้กับบริษัทชั้นนำ นักวิจัยอิสระ หรือแม้แต่อาชญากรไซเบอร์ที่ทำงานเป็นกลุ่ม 

ดังนั้น การเรียนรู้ว่าเรากำลังเผชิญกับแฮกเกอร์รูปแบบไหนจะช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถเตรียมการป้องกันได้อย่างเหมาะสม โดยแฮกเกอร์แต่ละคนมีแรงจูงใจที่แตกต่างกันในการโจมตีระบบ เช่น

  • แรงจูงใจทางการเงิน -  การแสวงหาผลประโยชน์ทางการเงินจากองค์กรที่มีทรัพย์สินมูลค่าสูง
  • การเคลื่อนไหวทางสังคม (Hactivism) - การเจาะระบบเพื่อส่งข้อความถึงองค์กรหรือสาธารณชนด้วยแรงจูงใจทางสังคมหรือการเมือง
  • การแก้แค้น - การโจมตีบุคคลหรือองค์กรที่พวกเขาเชื่อว่าทำผิดต่อตน
  • ชื่อเสียง - การแฮกเพื่อสร้างการยอมรับและแสดงความเชี่ยวชาญในชุมชนแฮกเกอร์
  • ความท้าทาย - การเจาะระบบเพื่อทดสอบความสามารถของตนเอง 

ประเภทของแฮกเกอร์ที่ควรรู้จัก

1. White Hat Hackers (แฮกเกอร์หมวกขาว) 

แฮกเกอร์หมวกขาว คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ที่ได้รับอนุญาตให้เจาะระบบอย่างถูกกฎหมาย โดยทำงานร่วมกับองค์กรหรือหน่วยงานรัฐในการค้นหาช่องโหว่เพื่อประเมินความปลอดภัย และให้คำแนะนำในการแก้ไขป้องกันการโจมตีจากภายนอก

แฮกเกอร์ประเภทนี้มักมีใบรับรองด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เช่น Certified Ethical Hacker (CEH), Offensive Security Certified Professional (OSCP) หรือ Certified Information Systems Security Professional (CISSP) 

White Hat Hacker มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงความปลอดภัยให้กับระบบและเครือข่ายโดยการ 

  • ทดสอบการเจาะระบบ (Penetration Testing)
  • ตรวจสอบโค้ดเพื่อหาช่องโหว่
  • พัฒนาโซลูชันด้านความปลอดภัย
  • ให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ดีด้านความปลอดภัยไซเบอร์

2. Black Hat Hackers (แฮกเกอร์หมวกดำ) 

แฮกเกอร์หมวกดำ ใช้ความเชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์ในการโจมตีระบบขององค์กรโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อเจาะระบบได้สำเร็จ พวกเขาจะสร้างความเสียหายต่อระบบ ขโมยข้อมูลเพื่อขายในตลาดมืด หรือเรียกค่าไถ่ผ่าน Ransomware

Black Hat Hacker อาจทำงานคนเดียวหรือเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีการจัดตั้งอย่างซับซ้อน บางกลุ่มมีโครงสร้างเหมือนบริษัททั่วไปโดยมีแผนกต่างๆ เช่น แผนกพัฒนามัลแวร์ และผู้ที่ทำหน้าที่โจมตี

กลุ่ม Black Hat Hacker มักใช้เทคนิคและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อเจาะเข้าสู่ระบบ เช่น

  • การพัฒนามัลแวร์ที่หลบเลี่ยงการตรวจจับจาก EDR หรือ MDR
  • การหาช่องโหว่แบบ Zero-Day Vulnerabilities
  • การใช้เทคนิคทางสังคมวิศวกรรม (Social Engineering)
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการโจมตีระบบ

3. Gray Hat Hackers (แฮกเกอร์หมวกเทา) 

แฮกเกอร์หมวกเทาเป็นกลุ่มที่อยู่ระหว่าง White Hat และ Black Hat ซึ่งกลุ่มนี้อาจเจาะระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่มักไม่มีเจตนาร้าย บางครั้งอาจแจ้งให้องค์กรทราบถึงช่องโหว่ด้านความปลอดภัย หรือขอค่าตอบแทนในการเปิดเผยข้อมูลช่องโหว่นั้นๆ 

พฤติกรรมของแฮกเกอร์หมวกเทามักอยู่ในขอบเขตสีเทาทางกฎหมาย เช่น การเจาะระบบเพื่อพิสูจน์ความสามารถ ค้นหาช่องโหว่และรายงานแก่องค์กรโดยไม่ได้รับอนุญาตล่วงหน้า เผยแพร่ช่องโหว่ต่อสาธารณะหลังจากให้เวลาองค์กรในการแก้ไข หรือบางครั้งอาจขอรางวัลค้นหาข้อบกพร่อง (Bug Bounty) หลังจากรายงานช่องโหว่ เป็นต้น

4. แฮกเกอร์ประเภทอื่นๆ 

  • Script Kiddies - ผู้ที่ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปจากผู้อื่นเพื่อเจาะระบบโดยไม่มีความรู้เชิงลึก มักไม่เข้าใจโค้ดหรือเทคนิคที่ใช้ แต่อาศัยเครื่องมือที่ผู้อื่นพัฒนาขึ้นแทน ถึงแม้จะมีทักษะน้อย แต่ก็สามารถสร้างความเสียหายได้มากหากใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ
  • Green Hat Hackers - แฮกเกอร์มือใหม่ที่กำลังเรียนรู้เทคนิคการเจาะระบบ ต่างจาก Script Kiddies ตรงที่มีความสนใจในการเรียนรู้เทคนิคการแฮกและการเขียนโค้ด โดยมักเข้าร่วมชุมชนแฮกเกอร์เพื่อพัฒนาทักษะและแลกเปลี่ยนความรู้
  • Blue Hat Hackers - มีสองความหมาย ได้แก่ ผู้แสวงหาการแก้แค้นส่วนบุคคลที่ใช้การแฮกเพื่อโจมตีบุคคลหรือองค์กรที่พวกเขามีความขัดแย้งส่วนตัว หรือผู้ทดสอบความปลอดภัยภายนอก ซึ่งบางบริษัท เช่น Microsoft ใช้คำนี้เรียกผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่ถูกเชิญมาทดสอบซอฟต์แวร์ก่อนเปิดตัว
  • Red Hat Hackers - คล้ายกับ White Hat แต่ใช้วิธีที่รุนแรงกว่าในการจัดการกับแฮกเกอร์ที่เป็นภัย แทนที่จะเพียงแค่ป้องกันการโจมตี พวกเขาอาจโต้กลับด้วยการใช้วิธีการเช่นเดียวกับแฮกเกอร์หมวกดำ เช่น การปล่อยมัลแวร์ย้อนกลับไปที่ผู้โจมตี หรือการทำลายเซิร์ฟเวอร์ของฝ่ายตรงข้าม
  • Hacktivist - กลุ่มแฮกเกอร์นิรนามที่มีจุดประสงค์ทางสังคมหรือการเมือง ใช้การแฮกเป็นเครื่องมือในการประท้วงหรือเผยแพร่ข้อความทางการเมืองและสังคม ตัวอย่างที่มีชื่อเสียงคือกลุ่ม Anonymous ที่เคยโจมตีเว็บไซต์ของรัฐบาลและองค์กรที่พวกเขาเห็นว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือเสรีภาพ
  • State/Nation Sponsored Hacker - แฮกเกอร์ที่ได้รับการว่าจ้างจากหน่วยงานรัฐให้โจมตีหรือดึงข้อมูลจากประเทศอื่น เรียกอีกอย่างว่า "Advanced Persistent Threats" (APTs) พวกเขามักมีทรัพยากรมากและใช้เทคนิคขั้นสูง โดยมุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ องค์กรทางการทหาร หรือข้อมูลทางการเมืองและเศรษฐกิจที่มีความสำคัญ
  • Malicious Insider -  บุคคลภายในองค์กรที่ใช้สิทธิ์การเข้าถึงเพื่อเปิดเผยหรือแบล็กเมล์องค์กร ซึ่งอาจเป็นพนักงานปัจจุบัน อดีตพนักงาน หรือผู้รับเหมาที่มีความไม่พอใจ หรือถูกจูงใจด้วยผลประโยชน์ทางการเงิน โดยเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่สามารถสร้างความเสียหายได้จำนวนมาก เนื่องจากมีสิทธิ์เข้าถึงระบบและข้อมูลภายในอยู่แล้ว ทำให้ยากต่อการตรวจจับ

กลยุทธ์และวิธีการโจมตีที่แฮกเกอร์มักใช้ 

1. มัลแวร์ (Malware) 

มัลแวร์ คือซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความเสียหายให้กับระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีหลายประเภท ได้แก่

  • ไวรัส - โปรแกรมที่แพร่กระจายตัวเองไปยังไฟล์ต่างๆ ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงหรือทำลายข้อมูล หรือทำตามการวางโปรแกรมของแฮกเกอร์ เช่น การเปิดไฟล์แนบที่ติดไวรัส เพื่อเริ่มการติดตั้งและแพร่กระจายไวรัส เมื่อไฟล์ถูกเปิด ไวรัสจะเข้าไปติดอยู่กับไฟล์อื่นๆ ในระบบ และทำตัวเหมือนเซลล์เชื้อโรคที่แพร่กระจายไปทั่วอุปกรณ์
  • ม้าโทรจัน (Trojans) - โปรแกรมที่แอบแฝงตัวเป็นซอฟต์แวร์ทั่วไป แต่เปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้าควบคุมเครื่องได้ โดยม้าโทรจันได้ชื่อมาจากตำนานม้าไม้เมืองทรอย ที่ดูเหมือนของขวัญแต่กลับซ่อนทหารไว้ภายใน เช่นเดียวกับโปรแกรมที่ดูเหมือนจะมีประโยชน์ แต่ซ่อนโค้ดที่เป็นอันตรายเอาไว้ เมื่อเปิดใช้งาน ม้าโทรจันอาจติดตั้งโปรแกรมดักจับการพิมพ์ (Keylogger) เพื่อบันทึกรหัสผ่าน สร้าง "Backdoor" ให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบได้ในภายหลัง หรือเปิดการควบคุมระบบจากระยะไกล
  • เวิร์ม (Worm) - มัลแวร์ที่แพร่กระจายตัวเองผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้อย่างรวดเร็ว ต่างจากไวรัสตรงที่ไม่จำเป็นต้องมีการกระทำของผู้ใช้ Worm สามารถแพร่กระจายผ่านช่องโหว่ของระบบหรือเครือข่ายโดยอัตโนมัติ และอาจทำให้ทั้งเครือข่ายล่มได้ในเวลาอันรวดเร็ว เช่น WannaCry ที่เป็นเวิร์มที่แพร่กระจายผ่านช่องโหว่ของ Windows ซึ่งส่งผลต่อเครื่องคอมพิวเตอร์หลายแสนเครื่องทั่วโลกในปี 2017
  • Ransomware - มัลแวร์เรียกค่าไถ่ที่เมื่อติดตั้งในระบบแล้ว Ransomware จะเข้ารหัสไฟล์สำคัญทั้งหมด ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลนั้นๆ ได้ จากนั้นจะแสดงข้อความเรียกค่าไถ่ โดยอาจเรียกร้องการชำระเงินในรูปแบบสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin ซึ่งการโจมตีแบบนี้สร้างความเสียหายอย่างมากแก่ธุรกิจและองค์กร บางกรณีแม้จ่ายค่าไถ่แล้ว ผู้โจมตีอาจไม่ส่งกุญแจถอดรหัส
  • สปายแวร์ (Spyware) - โปรแกรมที่ติดตั้งเพื่อรวบรวมข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้ โดยสปายแวร์จะทำงานในเบื้องหลังโดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว และบันทึกกิจกรรมต่างๆ เช่น การกดแป้นพิมพ์ (Keystrokes) พฤติกรรมการท่องเว็บ ข้อมูลบัตรเครดิต รหัสผ่าน หรือข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ

2. ฟิชชิง (Phishing) 

ฟิชชิง เป็นการหลอกลวงทางออนไลน์ที่พบบ่อยที่สุด มีเป้าหมายเพื่อขโมยข้อมูลสำคัญด้วยวิธีต่างๆ เช่น

  • Spear Phishing - การโจมตีแบบเฉพาะเจาะจงบุคคลหรือองค์กร แตกต่างจากฟิชชิงทั่วไปที่ส่งอีเมลจำนวนมากแบบไม่เจาะจง Spear Phishing จะมุ่งเป้าไปที่บุคคลหรือองค์กรเฉพาะ โดยผู้โจมตีจะรวบรวมข้อมูลของเป้าหมายก่อนเพื่อสร้างข้อความที่น่าเชื่อถือ เช่น การปลอมตัวเป็นเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า หรือพันธมิตรทางธุรกิจ ทำให้เหยื่อมีแนวโน้มที่จะหลงเชื่อสูง
  • Whaling - การโจมตีเป้าหมายที่เป็นผู้บริหารระดับสูง เป็นรูปแบบพิเศษของ Spear Phishing ที่มุ่งเป้าไปที่ผู้บริหารระดับสูงหรือผู้มีอำนาจในองค์กร วิธีนี้มักใช้ข้อความที่เกี่ยวข้องกับการเงินหรือกฎหมาย เช่น การแจ้งเตือนเรื่องภาษี สัญญาทางกฎหมาย หรือประเด็นด้านการเงินที่สำคัญ เพื่อสร้างความเร่งด่วนและกดดันให้เป้าหมายตอบสนองโดยไม่ตรวจสอบให้ดี
  • Pharming - การเปลี่ยนเส้นทางเว็บไซต์ไปยังเว็บปลอมเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว เป็นเทคนิคขั้นสูงกว่าฟิชชิงทั่วไป โดยผู้โจมตีจะแฮกเซิร์ฟเวอร์ DNS (Domain Name System) ที่แปลงชื่อโดเมนเป็น IP address หรือแก้ไขไฟล์ hosts ในเครื่องของเหยื่อ ทำให้แม้ผู้ใช้จะพิมพ์ URL ที่ถูกต้อง เช่น ชื่อเว็บไซต์ธนาคาร ระบบก็จะนำไปสู่เว็บไซต์ปลอมที่แฮกเกอร์สร้างขึ้น ซึ่งมักเหมือนของจริงมาก ทำให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัวโดยไม่สงสัย
  • Smishing - การฟิชชิงผ่าน SMS หรือข้อความสั้น ผู้โจมตีส่ง SMS ที่มีลิงก์อันตรายหรือขอข้อมูลส่วนตัว มักอ้างว่ามาจากธนาคาร บริษัทขนส่ง หรือหน่วยงานรัฐ ด้วยข้อความเร่งด่วนที่ต้องการให้ผู้ใช้คลิกลิงก์หรือโทรกลับ
  • Vishing - การฟิชชิงผ่านการโทรศัพท์ (Voice Phishing) ผู้โจมตีจะโทรหาเหยื่อ โดยปลอมตัวเป็นพนักงานธนาคาร เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ หรือบริษัทที่น่าเชื่อถือ และพยายามล่อลวงให้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือทำธุรกรรมทางการเงิน

3. การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle (MitM) 

เป็นการที่แฮกเกอร์แทรกกลางระหว่างการสื่อสารของผู้ใช้สองฝ่าย และดักจับข้อมูลที่ส่งระหว่างกัน มักเกิดขึ้นบนเครือข่าย Wi-Fi สาธารณะที่ไม่ปลอดภัย โดยการโจมตีแบบ MitM มีหลายรูปแบบ เช่น

  • การสร้าง Wi-Fi ปลอม (Evil Twin) - แฮกเกอร์สร้างจุดเชื่อมต่อ Wi-Fi ปลอมที่มีชื่อคล้ายกับเครือข่ายจริง เช่น ในร้านกาแฟที่มี Wi-Fi "CoffeeShop-WiFi" แฮกเกอร์อาจสร้างเครือข่ายชื่อ "CoffeeShop-FreeWiFi" เมื่อผู้ใช้เชื่อมต่อกับเครือข่ายปลอม ข้อมูลทั้งหมดก็จะถูกส่งผ่านเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์
  • ARP Spoofing - Address Resolution Protocol Spoofing เป็นเทคนิคที่แฮกเกอร์ปลอมแปลงที่อยู่ MAC ของตนให้เชื่อมโยงกับ IP ของอุปกรณ์อื่นในเครือข่าย ทำให้การรับส่งข้อมูลในเครือข่ายถูกส่งผ่านคอมพิวเตอร์ของแฮกเกอร์ก่อนไปถึงอุปกรณ์จริงของผู้ใช้งาน ซึ่งเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถดักจับข้อมูลทั้งหมด รวมถึงรหัสผ่าน ข้อมูลการเข้าสู่ระบบ และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ
  • SSL Stripping - เทคนิคที่ลดการเชื่อมต่อ HTTPS ที่ปลอดภัยให้เป็น HTTP ที่ไม่มีการเข้ารหัส ทำให้แฮกเกอร์สามารถดูข้อมูลที่ส่งได้ในรูปแบบข้อความธรรมดา (Plain Text) โดยทั่วไปเทคนิคนี้จะทำงานร่วมกับการโจมตีแบบ MitM ประเภทอื่น โดยแฮกเกอร์จะอยู่ระหว่างผู้ใช้และเว็บไซต์ ขณะที่เว็บไซต์ส่งลิงก์ HTTPS แฮกเกอร์จะเปลี่ยนเป็น HTTP ก่อนส่งต่อให้ผู้ใช้นั่นเอง
  • DNS Spoofing - การปลอมแปลงข้อมูล DNS เพื่อเปลี่ยนเส้นทางการเชื่อมต่อของผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ปลอมที่แฮกเกอร์สร้างขึ้น เมื่อผู้ใช้พิมพ์ URL ที่ถูกต้อง ระบบ DNS ที่ถูกแฮกจะนำพาไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนของจริง ทำให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัว หรือเข้าสู่ระบบโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังส่งข้อมูลให้แฮกเกอร์

การโจมตีแบบ MitM มักเกิดขึ้นในสถานที่ที่มีการใช้ Wi-Fi สาธารณะ เช่น ร้านกาแฟ สนามบิน โรงแรม หรือศูนย์การค้า ดังนั้น ผู้ใช้งานควรหลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมที่สำคัญ หรือไม่เชื่อมต่อกับเครือข่ายสาธารณะ หากจำเป็นต้องใช้งาน ควรใช้ VPN เพื่อเข้ารหัสการเชื่อมต่อทั้งหมด

4. การโจมตีแบบ DoS และ DDoS 

Denial of Service (DoS) และ Distributed Denial of Service (DDoS) เป็นการโจมตีด้วยการส่งคำขอเข้าระบบจำนวนมากจนทำให้ระบบชะงักหรือล่ม ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์แฝงมัลแวร์เข้าสู่ระบบ

  • การโจมตีแบบ DoS - ใช้คอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวในการส่งคำขอจำนวนมากไปยังเซิร์ฟเวอร์เป้าหมาย จนทำให้เซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถตอบสนองต่อคำขอจากผู้ใช้ปกติได้ เทคนิคที่ใช้อาจเป็นการส่งแพ็กเก็ตขนาดใหญ่ (Ping of Death) หรือการส่งคำขอที่ออกแบบมาให้ใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์มาก
  • การโจมตีแบบ DDoS - ใช้คอมพิวเตอร์หลายเครื่อง (บางครั้งนับพันหรือหมื่นเครื่อง) ที่ติดมัลแวร์และถูกควบคุมโดยแฮกเกอร์ เรียกว่า "Botnet" ในการโจมตีเป้าหมายพร้อมกัน ทำให้ยากต่อการป้องกันเพราะการโจมตีมาจากหลายแหล่งที่มา และมีปริมาณมากกว่าการโจมตีแบบ DoS ธรรมดา

รูปแบบของการโจมตีแบบ DDoS ที่พบบ่อย

  • การโจมตี Layer 7 (Application Layer) - มุ่งเป้าไปที่ชั้นแอปพลิเคชัน เช่น การส่งคำขอ HTTP GET หรือ POST จำนวนมากไปยังเว็บเซิร์ฟเวอร์
  • SYN Flood - ส่งคำขอเริ่มต้นการเชื่อมต่อ TCP (SYN packets) จำนวนมากโดยไม่ทำให้การเชื่อมต่อเสร็จสมบูรณ์ ทำให้เซิร์ฟเวอร์รอการตอบกลับจนระบบหยุดชะงัก
  • UDP Flood - ส่งแพ็กเก็ต UDP จำนวนมากไปยังพอร์ตสุ่มบนเซิร์ฟเวอร์ ทำให้เซิร์ฟเวอร์ต้องตรวจสอบแต่ละพอร์ตและตอบกลับด้วยข้อความว่าไม่มีแอปพลิเคชันทำงานอยู่
  • DNS Amplification - ใช้เซิร์ฟเวอร์ DNS เพื่อส่งข้อมูลขนาดใหญ่ไปยังเป้าหมาย โดยการส่งคำขอขนาดเล็กพร้อมกับปลอมแปลง IP ที่มาให้เป็น IP ของเป้าหมาย

การโจมตีแบบ DDoS ไม่เพียงทำให้เว็บไซต์หรือบริการไม่สามารถเข้าถึงได้เท่านั้น แต่ยังอาจใช้เป็นการหันเหความสนใจเพื่อปกปิดการโจมตีประเภทอื่น เช่น การขโมยข้อมูลหรือการเจาะระบบ ขณะที่ทีมไอทีกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการปัญหาการเข้าถึงระบบ

5. SQL Injection 

การโจมตีที่แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ของเว็บแอปพลิเคชันเพื่อแทรกคำสั่ง SQL และดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญเช่น รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัญชีได้

SQL Injection เกิดขึ้นเมื่อแอปพลิเคชันนำข้อมูลที่ผู้ใช้งานป้อนไปใช้ในคำสั่ง SQL โดยไม่มีการตรวจสอบหรือทำความสะอาดข้อมูลนั้นก่อน ทำให้แฮกเกอร์สามารถแทรกคำสั่ง SQL ของตนเองเข้าไปได้ ตัวอย่างง่ายๆ คือการใส่เครื่องหมาย ' หรือ " ในช่องค้นหาหรือแบบฟอร์มล็อกอิน ซึ่งอาจทำให้คำสั่ง SQL เดิมผิดพลาดและทำงานตามที่แฮกเกอร์ต้องการ

รูปแบบของ SQL Injection:

  • Simple Injection - การใส่โค้ด SQL เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบสิทธิ์ เช่น การใส่ ' OR '1'='1 ในช่องรหัสผ่าน ซึ่งอาจทำให้สามารถล็อกอินเข้าระบบได้โดยไม่ต้องรู้รหัสผ่านที่แท้จริง
  • Union-Based Injection - ใช้คำสั่ง UNION SQL เพื่อรวมผลลัพธ์จากการสอบถามที่ถูกต้องกับข้อมูลที่แฮกเกอร์ต้องการสกัด
  • Error-Based Injection - ใช้ประโยชน์จากข้อความแสดง Error ของฐานข้อมูล เพื่อดึงข้อมูลหรือแผนผังของฐานข้อมูล
  • Time-Based Injection - ใช้คำสั่งทำให้ฐานข้อมูลต้องรอก่อนตอบกลับ หากการสอบถามเป็นจริง (True) ก็จะทำให้แฮกเกอร์สามารถสกัดข้อมูลออกมาได้ แม้จะไม่มีผลลัพธ์แสดงออกมาโดยตรง

SQL Injection สามารถทำให้แฮกเกอร์ เข้าถึงข้อมูลลับที่เก็บในฐานข้อมูล เปลี่ยนแปลงข้อมูลในฐานข้อมูล (แก้ไข/เพิ่ม/ลบ) ลบฐานข้อมูลทั้งหมด ดาวน์โหลดไฟล์จากเซิร์ฟเวอร์ หรือในบางกรณีสามารถเข้าถึงระบบปฏิบัติการและควบคุมเซิร์ฟเวอร์ได้

6. Zero-Day Exploit 

Zero-Day Exploit คือ การโจมตีที่ใช้ช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขหรือยังไม่เป็นที่รู้จัก แม้แต่ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เองก็อาจไม่ทราบเกี่ยวกับช่องโหว่นี้ ทำให้ไม่มีการอัปเดตหรือแพตช์เพื่อแก้ไข ชื่อ "Zero-Day" มาจากความจริงที่ว่าผู้พัฒนามีเวลาศูนย์วัน (Zero Days) ในการแก้ไขปัญหาก่อนที่ช่องโหว่จะถูกใช้งาน

ช่องโหว่ Zero-Day ถือเป็นสิ่งที่มีมูลค่าสูงในตลาดมืด เพราะสามารถใช้โจมตีระบบที่แม้จะมีการอัปเดตล่าสุดก็ตาม แฮกเกอร์ที่มีทรัพยากรมาก เช่น กลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ (State-Sponsored Groups) มักใช้ Zero-day Exploits ในการโจมตีเป้าหมายที่มีความสำคัญสูง

ลักษณะของช่องโหว่แบบ Zero-Day มีดังนี้

  • มักถูกค้นพบโดยนักวิจัยด้านความปลอดภัย แฮกเกอร์ หรือผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เอง
  • สามารถขายได้ในราคาสูงถึงหลายแสนหรือหลายล้านดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและซอฟต์แวร์ที่ได้รับผลกระทบ
  • บริษัทบางแห่งเสนอโปรแกรมรางวัลค้นหาข้อบกพร่อง (Bug Bounty Programs) เพื่อจูงใจให้นักวิจัยรายงานช่องโหว่แทนที่จะขายให้แฮกเกอร์
  • มักถูกใช้ในการโจมตีแบบ APT (Advanced Persistent Threat) ซึ่งเป็นการโจมตีที่มีการวางแผนอย่างละเอียดและดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน

การป้องกัน Zero-day Exploits ทำได้ยาก เพราะโดยนิยามแล้วเป็นช่องโหว่ที่ยังไม่มีการแก้ไข อย่างไรก็ตาม การใช้แนวปฏิบัติด้านความปลอดภัยที่ดี เช่น การติดตั้งซอฟต์แวร์เฉพาะที่จำเป็น การจำกัดสิทธิ์ผู้ใช้งาน และการใช้ระบบตรวจจับและป้องกันการบุกรุก (IDS/IPS) สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้

7. Cross-Site Scripting (XSS) 

Cross-Site Scripting หรือ XSS เป็นช่องโหว่ที่ช่วยให้แฮกเกอร์แทรกสคริปต์ที่เป็นอันตราย (มักเป็น JavaScript) เข้าไปในเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เชื่อถือ เมื่อผู้ใช้งานเข้าชมเว็บไซต์นั้น สคริปต์จะทำงานโดยอัตโนมัติบนเบราว์เซอร์ของผู้ใช้งาน ทำให้แฮกเกอร์สามารถขโมยคุกกี้เซสชัน (Cookie Session) ขโมยข้อมูลส่วนตัว หรือแม้แต่ควบคุมเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ โดย XSS สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่

  • Stored XSS (Persistent XSS) - สคริปต์อันตรายถูกเก็บไว้ถาวรบนเซิร์ฟเวอร์เป้าหมาย เช่น ในฐานข้อมูล และทำงานทุกครั้งที่มีผู้เข้าชมหน้าเว็บที่มีสคริปต์นั้น
  • Reflected XSS (Non-Persistent XSS) - สคริปต์อันตรายถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์และสะท้อนกลับมายังผู้ใช้ในการตอบสนองทันที เช่น ผ่านการค้นหา หรือข้อความแสดงความผิดพลาด มักใช้ร่วมกับเทคนิควิศวกรรมสังคมเพื่อหลอกให้ผู้ใช้คลิกลิงก์ที่มีสคริปต์แฝง
  • DOM-Based XSS - เกิดขึ้นเมื่อสคริปต์ที่เป็นอันตรายทำงานเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงใน DOM (Document Object Model) ของหน้าเว็บ โดยไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาจากเซิร์ฟเวอร์

การป้องกัน XSS รวมถึงการตรวจสอบและทำความสะอาดข้อมูลที่ป้อนโดยผู้ใช้ การใช้เฮดเดอร์ Content-Security-Policy การเข้ารหัสข้อมูลที่แสดงผล และการใช้ Framwork สมัยใหม่ที่มีการป้องกัน XSS ในตัว

วิธีป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์ 

1. อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอ 

ภัยคุกคามออนไลน์ มักใช้ช่องโหว่ที่พบในซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการ การอัปเดตซอฟต์แวร์จึงเป็นหนึ่งในวิธีพื้นฐานที่สุดแต่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ โดยเมื่อผู้พัฒนาซอฟต์แวร์พบช่องโหว่ในผลิตภัณฑ์ของตน  ก็จะออกแพตช์หรืออัปเดตเพื่อแก้ไขปัญหานั้นๆ โดยมีข้อแนะนำในการอัปเดตซอฟต์แวร์ ดังนี้

  • ตั้งค่าให้ซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันอัปเดตโดยอัตโนมัติเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้
  • ตรวจสอบการอัปเดตระบบปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอ (Windows, macOS, Linux)
  • อย่าละเลยซอฟต์แวร์สำคัญ เช่น เบราว์เซอร์ โปรแกรมอีเมล และซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์
  • สำหรับอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) เช่น กล้องวงจรปิด เราเตอร์ และอุปกรณ์สมาร์ทโฮม ให้ตรวจสอบการอัปเดตเฟิร์มแวร์อย่างสม่ำเสมอ
  • สำหรับองค์กร ควรมีกระบวนการจัดการแพตช์ที่เป็นทางการเพื่อตรวจสอบและติดตั้งการอัปเดตด้านความปลอดภัยอย่างทันท่วงที

2. ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรง 

ควรตั้งรหัสผ่านที่มีความซับซ้อน ประกอบด้วย 

  • ความยาวอย่างน้อย 12 ตัวอักษร (ยิ่งยาวยิ่งดี)
  • ผสมตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ พิมพ์เล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์
  • ไม่ใช้ข้อมูลส่วนตัวที่เดาได้ง่าย เช่น ชื่อ วันเกิด หรือคำที่มีในพจนานุกรม
  • ไม่ใช้รหัสผ่านเดียวกับเว็บไซต์อื่น
  • เปลี่ยนรหัสผ่านอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะสำหรับบัญชีที่สำคัญ

โดยอาจเลือกใช้วลีหรือประโยคที่จำได้ง่าย แต่แทนที่ตัวอักษรด้วยตัวเลขหรือสัญลักษณ์ เช่น "I love Thai food!" อาจกลายเป็น "1L0v3Th@1F00d!" หรือใช้เทคนิคการเชื่อมคำ โดยเลือกคำหลายๆ คำที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาเชื่อมต่อกัน เช่น "ElephantSunsetPurple42" และต้องไม่ลืมพิจารณาใช้ซอฟต์แวร์จัดการรหัสผ่าน (Password Manager) เช่น LastPass, 1Password, หรือ Bitwarden ซึ่งสามารถสร้างและจัดเก็บรหัสผ่านที่ซับซ้อน ทำให้ยากต่อการแฮกเข้าสู่ระบบ

3. ยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication) 

การยืนยันตัวตนสองขั้นตอนเพิ่มความปลอดภัยโดยขอข้อมูลเพิ่มเติมนอกเหนือจากรหัสผ่าน เช่น รหัสผ่านครั้งเดียว (OTP) ที่ส่งไปยังโทรศัพท์ มีวิธีการใช้ที่พบบ่อย ได้แก่

  • แอปพลิเคชัน OTP เช่น Google Authenticator, Microsoft Authenticator หรือ Authy ที่สร้างรหัสใหม่ทุก 30 วินาที
  • ข้อความ SMS ที่ส่งรหัสยืนยันไปยังโทรศัพท์มือถือของคุณ (แม้จะสะดวกแต่มีความปลอดภัยน้อยกว่าวิธีอื่น)
  • การแจ้งเตือนแบบพุชผ่านแอปพลิเคชันมือถือ ที่เจ้าของมือถือสามารถอนุมัติหรือปฏิเสธการเข้าสู่ระบบได้
  • กุญแจความปลอดภัย (Hardware Security Keys) เช่น YubiKey หรือ Google Titan ที่ต้องเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์หรือใช้ NFC กับโทรศัพท์มือถือ 

4. ใช้เครือข่าย Wi-Fi ที่ปลอดภัย 

การใช้เครือข่าย Wi-Fi ที่ปลอดภัยช่วยลดความเสี่ยงจากการขโมยข้อมูลส่วนตัวผ่านวิธี MitM ได้ดี โดยหากเป็น Wi-Fi ที่ใช้งานส่วนตัว หรือเป็นขององค์กร ควรดำเนินการดังนี้ 

  • ตั้งรหัสผ่าน Wi-Fi ที่แข็งแกร่ง - รหัสผ่านควรยาวอย่างน้อย 12 ตัวอักษร มีการผสมตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษ โดยเปลี่ยนจากรหัสที่ตั้งมาจากโรงงาน
  • เปลี่ยนชื่อและรหัสผ่านเริ่มต้นของเราเตอร์ - เราเตอร์ส่วนใหญ่มาพร้อมกับชื่อ (SSID) และรหัสผ่านเริ่มต้นที่แฮกเกอร์สามารถหาได้ง่าย การเปลี่ยนทั้งชื่อและรหัสผ่านจะเพิ่มความปลอดภัย ไม่ควรใช้ชื่อที่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อครอบครัวหรือที่อยู่
  • ใช้ Virtual Private Network (VPN) - VPN สร้างอุโมงค์เข้ารหัสระหว่างอุปกรณ์ของคุณและอินเทอร์เน็ต ทำให้ข้อมูลของคุณปลอดภัยแม้เมื่อใช้ Wi-Fi สาธารณะ มีบริการ VPN ที่น่าเชื่อถือมากมาย ทั้งแบบฟรีและเสียค่าบริการ
  • ใช้การเข้ารหัสระดับสูง - ตรวจสอบว่าเราเตอร์ของคุณใช้โปรโตคอลการเข้ารหัสล่าสุด เช่น WPA3 แทน WPA2, WPA หรือแย่ที่สุดคือ WEP ซึ่งสามารถถูกแฮกได้ภายในไม่กี่นาที
  • ปิดการแบ่งปันไฟล์และเครื่องพิมพ์ในเครือข่าย - ปิดคุณสมบัติการแบ่งปันที่ไม่จำเป็นเพื่อลดพื้นที่ผิวการโจมตี (attack surface) เปิดใช้งานเฉพาะเมื่อจำเป็น
  • เปิดใช้งาน ไฟร์วอลล์ (Firewall) ในเราเตอร์ - ไฟร์วอลล์จะช่วยกรองการจราจรทางเครือข่ายและปิดกั้นการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต
  • อัปเดตเฟิร์มแวร์ของเราเตอร์ -  เราเตอร์มีซอฟต์แวร์ (เรียกว่าเฟิร์มแวร์) ที่ควรได้รับการอัปเดตเมื่อมีเวอร์ชันใหม่ เพื่อแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
  • สร้างเครือข่ายสำหรับผู้มาเยือน (Guest Network) - หากคุณต้องการให้ผู้มาเยือนใช้ Wi-Fi ตั้งค่าเครือข่ายแยกสำหรับพวกเขาเพื่อไม่ให้เข้าถึงอุปกรณ์หลักของคุณ

สุดท้ายนี้ หากเป็น Wi-Fi ก็ควรหลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมทางการเงิน การล็อกอินเข้าบัญชีที่สำคัญ หรือการส่งข้อมูลส่วนตัว หรือเลือกให้ใช้ VPN เพื่อความปลอดภัยอีกชั้นด้วยก็ได้

5. การสำรองข้อมูล (Backup) 

การสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอช่วยให้สามารถกู้คืนข้อมูลได้หากถูกโจมตีโดยแฮกเกอร์ โดยควรสำรองข้อมูลไว้ในที่ปลอดภัย เช่น ฮาร์ดดิสก์ภายนอก NAS หรือ Cloud Storage หรือนำโซลูชัน Data Loss Prevention มาใช้กับเครือข่าย 

โดยกลยุทธ์การสำรองข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ คือ การปฏิบัติตามกฎ 3-2-1

  • สร้างสำเนาสำรองอย่างน้อย 3 ชุด (ต้นฉบับและสำเนาอีก 2 ชุด)
  • เก็บในสื่อจัดเก็บอย่างน้อย 2 ประเภท (เช่น ฮาร์ดดิสก์ภายในและคลาวด์)
  • เก็บสำเนาอย่างน้อย 1 ชุดนอกสถานที่ (เช่น ในคลาวด์หรือที่อื่นทางกายภาพ)

นอกจากนี้ยังมีข้อแนะนำเพิ่มเติม ได้แก่ ตั้งค่าการสำรองข้อมูลอัตโนมัติเพื่อลดความเสี่ยง ทดสอบการกู้คืนข้อมูลเป็นประจำ เข้ารหัสข้อมูลสำรอง เพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือพิจารณาใช้บริการสำรองข้อมูลคลาวด์ที่มีการเข้ารหัสสองชั้น ประกอบกับพัฒนาแผนการกู้คืนจากภัยพิบัติ (Disaster Recovery Plan) ที่ครอบคลุม

6. ระมัดระวังการคลิกลิงก์น่าสงสัย 

การฟิชชิง (Phishing) เป็นวิธีการขโมยข้อมูลส่วนตัวที่พบได้บ่อย จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อได้รับอีเมลหรือข้อความ จากผู้ส่งที่ไม่รู้จัก และไม่ควรคลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์แนบที่น่าสงสัยโดยเด็ดขาด โดยสามารถสังเกตอีกเมล Phishing ได้ ดังนี้

  • ตรวจสอบอีเมลของผู้ส่ง - แม้ชื่อผู้ส่งจะดูเหมือนมาจากบริษัทหรือบุคคลที่รู้จัก แต่ที่ Email Address จริงๆ อาจเป็นของบุคคลภายนอก ซึ่งอาจเป็นการหลอกลวงจากแฮกเกอร์
  • ข้อความที่ทำให้เกิดความรู้สึกเร่งด่วน - ข้อความที่สร้างความรู้สึกเร่งด่วน เช่น ล็กอกอินทันทีเพื่อป้องกันบัญชีถูกระงับ มักเป็นสัญญาณของการฟิชชิง
  • เนื้อหาที่มีข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์และการสะกด - หากมีการเรียบเรียงประโยค คำ หรือวลีที่ดูแปลก ให้สงสัยเอาไว้ก่อนว่าอาจเป็นข้อความจากแฮกเกอร์ ซึ่งอาจไม่ใช่เจ้าของภาษา
  • คำทักทายที่ไม่เฉพาะเจาะจง - การใช้คำทักทายทั่วไป เช่น "ลูกค้าที่เคารพ" แทนชื่อองค์กรหรือชื่อแบบระบุเจาะจง อาจเป็นสัญญาณเตือนของแฮกเกอร์
  • ลิงก์ที่น่าสงสัย - เมื่อนำเมาส์ไปวางเหนือลิงก์ (โดยไม่คลิก) สามารถดู URL จริงได้ ซึ่งอาจแตกต่างจากที่แสดงในตัวอักษร (Display Text) 
  • การขอข้อมูลส่วนตัว - บริษัทหรือองค์กร เช่น ธนาคาร ประกันภัย หรือหน่วยงานภาครัฐมักจะไม่ขอข้อมูลละเอียดอ่อนผ่านช่องทางอย่างอีเมล หรือข้อความ

7. ติดตั้งซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ 

การใช้ซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยและโปรแกรมป้องกันมัลแวร์ช่วยตรวจจับและกำจัดภัยคุกคาม ระบบความปลอดภัยที่ควรพิจารณา ได้แก่

  • ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและมัลแวร์ - ช่วยตรวจจับ กักกัน และลบโค้ดที่เป็นอันตราย มีทั้งโซลูชันฟรีและแบบชำระเงิน ควรเลือกโซลูชันที่ได้รับการอัปเดตฐานข้อมูลภัยคุกคามอย่างสม่ำเสมอ
  • Next-Generation Firewall (NGFW) - ไฟร์วอลล์รุ่นใหม่ที่มีฟังก์ชันมากกว่าไฟร์วอลล์ (Firewall) ทั่วไป สามารถวิเคราะห์แพ็คเก็ตเชิงลึกและใช้ข้อมูลข่าวกรองภัยคุกคาม ช่วยป้องกันการโจมตีขั้นสูงที่ไฟร์วอลล์แบบดั้งเดิมอาจตรวจไม่พบ
  • EDR (Endpoint Detection and Response) - ระบบตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามที่อุปกรณ์ปลายทาง ให้การป้องกันขั้นสูงโดยการตรวจสอบพฤติกรรมของระบบเพื่อระบุกิจกรรมที่น่าสงสัย ไม่เพียงตรวจจับมัลแวร์เท่านั้น แต่ยังช่วยวิเคราะห์และรับมือกับการโจมตีขั้นสูงอีกด้วย
  • MDR (Managed Detection and Response) - บริการจัดการการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคาม ผสมผสานเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI และการวิเคราะห์พฤติกรรม กับการเฝ้าระวังโดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย ให้การป้องกันแบบครบวงจรสำหรับองค์กร
  • โซลูชันป้องกันการสูญหายของข้อมูล (Data Loss Prevention) - ช่วยป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจหรือเจตนา โดยการตรวจสอบ ตรวจจับ และปิดกั้นข้อมูลที่ละเอียดอ่อนขณะที่อยู่ในการใช้งาน เคลื่อนย้าย หรือเก็บรักษา
  • Web Application Firewall (WAF) - ปกป้องเว็บแอปพลิเคชันจากการโจมตี เช่น SQL Injection, XSS และการโจมตีอื่นๆ โดยการกรองและตรวจสอบการจราจร HTTP
  • Intrusion Detection System (IDS) และ Intrusion Prevention System (IPS) - ตรวจสอบการจราจรเครือข่ายเพื่อระบุกิจกรรมที่น่าสงสัย โดย IPS สามารถดำเนินการกับการโจมตีที่ตรวจพบโดยอัตโนมัติ
  • Security Information and Event Management (SIEM) - รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลบันทึกจากหลายแหล่งเพื่อระบุรูปแบบผิดปกติและการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น

การรู้เท่าทันแฮกเกอร์และวิธีการที่พวกเขาใช้ในการโจมตีเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันข้อมูลและระบบจาก ภัยคุกคามออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการอัปเดตซอฟต์แวร์ การใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่ง หรือการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม ทุกมาตรการล้วนมีส่วนในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบป้องกัน ในโลกที่เทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว การป้องกันแฮกเกอร์ไม่ใช่การติดตั้งซอฟต์แวร์แบบครั้งเดียวจบ แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องอัปเดตความรู้และมาตรการป้องกันอยู่เสมอ การลงทุนในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกองค์กรและบุคคลในยุคดิจิทัลนี้

ร่วมมือกับผู้ให้บริการโซลูชัน Cybersecurity ที่น่าเชื่อถือ 

หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Cyber Threats) คือ โซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์ อย่าง Sangfor NGFW, การรักษาความปลอดภัยอุปกรณ์ปลายทาง (Endpoint Security), Cloud-Based SASE และโซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์อื่นๆ สามารถป้องกันระบบคลาวด์ของคุณจากมัลแวร์ ธุรกิจแต่ละแห่งมีความต้องการที่แตกต่างกัน ดังนั้นควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อค้นหาสิ่งที่จำเป็นสำหรับองค์กร

สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ Sangfor นำเสนอ เพื่อป้องกันมัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) และมัลแวร์ รวมถึงวิธีปกป้องธุรกิจของคุณจากอันตรายของมัลแวร์ หากมีคำถามเพิ่มเติม อย่าลังเลที่จะติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเรา

Search

Get in Touch

Get in Touch with Sangfor Team for Business Inquiry

Name
Email Address
Business Phone Number
Tell us about your project requirements

Related Articles

Cyber Security

SASE vs. SSE: What You Need to Know

Date : 13 Mar 2025
Read Now
Cyber Security

บัญชีม้าคืออะไร? รู้การหลอกใช้บัญชีม้าก่อนตกเป็นเหยื่อ

Date : 18 Mar 2025
Read Now
Cyber Security

Cybersecurity in Malaysia: AI Investments on the Rise

Date : 07 Mar 2025
Read Now

See Other Product

Cyber Command - NDR Platform - Sangfor Cyber Command - แพลตฟอร์ม NDR
Sangfor Endpoint Secure
Internet Access Gateway (IAG)
Sangfor Network Secure - Next Generation Firewall (NGFW)
Platform-X
Sangfor Access Secure - โซลูชัน SASE