การปกป้องข้อมูลถือเป็นประเด็นสำคัญระดับโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทคโนโลยีมีการพัฒนาและเชื่อมโยงกันมากขึ้น ทำให้ผู้คนแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากแก่บริษัทต่าง ๆ เป็นประจำโดยไม่ลังเล แม้ว่าเครือข่ายเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเหล่านี้อาจทำให้ชีวิตและธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวที่สำคัญเช่นกัน

ในบทความนี้ เราจะมาดูการตอบสนองของประเทศไทยต่อปัญหาที่ท้าทายเหล่านี้และสำรวจว่ากฎหมาย PDPA ของประเทศไทยที่ใช้สำหรับปกป้องข้อมูลผู้ใช้ นอกจากนี้ เราจะเจาะลึกลงไปว่า PDPA Thailand ถูกนำไปใช้ในทางปฏิบัติอย่างไร และส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างไร

กฎหมายคุ้มครองข้อมูลถือเป็นส่วนสำคัญของระบบดิจิทัล นโยบายเหล่านี้ช่วยให้แน่ใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลจะไม่ถูกนำไปใช้ในการฉ้อโกงหรือก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ นอกจากนี้ กฎหมายเหล่านี้ยังสร้างความเชื่อมั่นระหว่างภาคธุรกิจและรัฐบาล ซึ่งตอกย้ำแนวคิดความเป็นส่วนตัวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน และกฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Privacy หรือ PDP) ถือเป็นกฎหมายเดียวที่ทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันหลักในการต่อต้านการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในทางที่ผิด ในประเทศไทยกฎหมาย PDPA ถูกนำมาใช้เพื่อให้บุคคลสามารถควบคุมวิธีการรวบรวม ประมวลผล และใช้ข้อมูลของตนได้มากขึ้น โดยช่วยให้แน่ใจว่าบริษัทต่าง ๆ ปฏิบัติตามแนวทางที่เข้มงวดในการจัดการข้อมูลที่มีเอกสิทธิ์ ส่งเสริมความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล นอกจากนี้ Sangfor ยังได้ให้สำรวจการเปรียบเทียบระหว่างกฎหมาย PDPA กับ GDPR ของยุโรปโดยอย่างละเอียดเพิ่มเติมไว้ที่นี่ อย่างไรก็ตาม สำหรับตอนนี้ เราลองมาทำความเข้าใจให้ดียิ่งขึ้นว่า PDPA Thailand คืออะไรกันก่อนดีกว่า

What is PDPA Thailand concept image

PDPA Thailand คืออะไร?

พ.ร.บ. PDPA หรือที่เรียกอีกอย่างว่า PDPA Thailand เป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลผู้บริโภคขั้นพื้นฐานที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวและความสมบูรณ์ของข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลในประเทศไทย กฎหมายฉบับนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (2019) (PDPA) โดยกฎหมายดังกล่าวได้ระบุถึงสิทธิของผู้ใช้ในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง และกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับการรวบรวม การประมวลผล และการใช้งานข้อมูลของผู้บริโภคตามกฎหมาย นอกจากนี้ยังระบุถึงบทลงโทษสำหรับการละเมิดข้อกำหนดเหล่านี้ไว้ด้วย

PDPA Thailand เป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลฉบับสมบูรณ์ฉบับแรกของประเทศ ซึ่งประกาศอย่างเป็นทางการในราชกิจจานุเบกษาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 แม้ว่ากฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในปี 2563 แต่มีกำหนดเลื่อนวันบังคับใช้ออกไปเป็นเดือนมิถุนายน 2565 วัตถุประสงค์หลักของกฎหมาย PDPA มีไว้เพื่อควบคุมการรวบรวม ประมวลผล และจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลโดยองค์กรทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติ โดยธุรกิจใด ๆ ในประเทศไทยที่รวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. PDPA

แม้ว่า พ.ร.บ. PDPA จะเป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่สำคัญที่สุดและมีผลบังคับใช้ล่าสุดในประเทศไทย แต่ประเทศไทยยังมีกฎหมายอื่น ๆ ที่ใช้เพื่อคุ้มครองข้อมูลประเภทต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งได้แก่ พ.ร.บ. ระบบการชำระเงิน (Payment System Act) ซึ่งใช้สำหรับธนาคาร พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ (National Health Act) ซึ่งใช้สำหรับข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล และ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารราชการ (Official Information Act) เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลที่หน่วยงานของรัฐจัดเก็บไว้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) บังคับใช้โดยคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Committee) ของประเทศไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว ซึ่งตอนนี้เราจะมาเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำความเข้าใจขอบเขตของกฎหมายนี้ให้ถ่องแท้ยิ่งขึ้น

คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทย (PDPC) คืออะไร?

คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPC เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลการบังคับใช้กฎหมาย PDPA ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ คณะกรรมการ PDPC ก่อตั้งขึ้นในปี 2565 เพียงไม่กี่เดือนก่อนที่กฎหมาย PDPA จะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในเดือนมิถุนายน สำนักงานมีหน้าที่รับผิดชอบในการส่งเสริมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การควบคุมการปฏิบัติตาม PDPA การกำหนดแนวทางในการปกป้องความสมบูรณ์ของข้อมูล และการบังคับใช้บทลงโทษ ประมวลกฎหมาย และข้อบังคับย่อย สำนักงาน PDPC ประกอบด้วย ประธาน รองประธาน คณะกรรมการ 5 คน และคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ 9 คน โดยทั้งหมดได้รับการแต่งตั้งตามความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในสาขาที่เกี่ยวข้อง ตอนนี้เรารู้แล้วว่าใครเป็นผู้บังคับใช้ PDPA เรามาหลักสำคัญของกฎหมายกันดีกว่า

องค์ประกอบหลักของ PDPA ของประเทศไทย กำหนดนิยามของข้อมูลส่วนบุคคลว่า "ข้อมูลใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลซึ่งสามารถระบุตัวตนของบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิต" PDPA ระบุข้อมูลส่วนบุคคลไว้ 2 ประเภท ได้แก่:

  • ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป (GPD): ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปหมายถึงข้อมูลใด ๆ ของบุคคลที่สามารถระบุตัวตนของบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งรวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ เช่น ชื่อ ที่อยู่ ข้อมูลการติดต่อ รหัสลูกค้า อายุ เพศ ส่วนสูง ชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และที่อยู่ IP
  • ข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว (SPD): ข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหวหมายถึงข้อมูลที่ต้องได้รับความยินยอมอย่างชัดเจน ซึ่งรวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเชื้อชาติ กลุ่มชาติพันธุ์ มุมมองทางการเมือง ความเชื่อทางศาสนา ความเชื่อทางปรัชญา รสนิยมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ความพิการ ข้อมูลสหภาพแรงงาน หรือข้อมูลทางพันธุกรรม

เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลทั้งสองประเภท กฎหมาย PDPA ได้กำหนดแนวทางสำหรับผู้ควบคุมข้อมูล ซึ่งหมายถึงบุคคลหรือนิติบุคคลที่มีอำนาจและหน้าที่ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม การใช้ หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ในทำนองเดียวกัน กฎหมายนี้มุ่งเป้าไปที่ผู้ประมวลผลข้อมูล หรือผู้ที่ “ดำเนินการเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม การใช้ หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามคำแนะนำที่ผู้ควบคุมข้อมูลหรือในนามของผู้ควบคุมข้อมูลกำหนดไว้เท่านั้น”

ตามกฎหมาย ทั้งผู้ประมวลผลข้อมูลและผู้ควบคุมข้อมูลเหล่านี้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดความยินยอม สิทธิของเจ้าของข้อมูล การแจ้งการละเมิด และข้อจำกัดในการโอนข้อมูลข้ามพรมแดน องค์ประกอบสำคัญของกฎหมายกำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลและผู้ประมวลผลข้อมูลต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อนจึงจะสามารถรวบรวมหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่รวบรวมได้ นอกจากนี้ ข้อมูลเหล่านี้จะต้องใช้เพื่อจุดประสงค์ที่รวบรวมมาในตอนแรกเท่านั้น การไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับเหล่านี้อาจส่งผลให้ได้รับโทษปรับทางปกครองสูงสุด 5 ล้านบาท และค่าปรับทางอาญาสูงสุด 1 ล้านบาท ประเด็นสำคัญที่ควรทราบเกี่ยกับกฎหมาย PDPA ได้แก่:

  1. การถ่ายโอนข้อมูลข้ามพรมแดน: ภายใต้ PDPA ข้อมูลส่วนบุคคลไม่สามารถถ่ายโอนไปยังเขตอำนาจศาลหรือองค์กรระหว่างประเทศที่ไม่มีการคุ้มครองข้อมูลที่เหมาะสม การถ่ายโอนข้อมูลเหล่านี้จะได้รับอนุญาตเฉพาะในกรณีที่ผู้ใช้ตระหนักถึงการขาดการรักษาความปลอดภัยข้อมูลและให้ความยินยอมอย่างชัดแจ้ง หรือหากการถ่ายโอนข้อมูลนั้นมีความจำเป็นต่อการปฏิบัติตามสัญญา
  2. สัญญาที่มีผลผูกพันภายในเครือกิจการ: คณะกรรมการ PDPC สนับสนุนให้บริษัทต่าง ๆ ภายในกลุ่มบริษัทเดียวกันนำกฎเกณฑ์การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่มีผลผูกพันภายในองค์กร (BCR) มาใช้เพื่อควบคุมการถ่ายโอนข้อมูลภายในกลุ่ม กฎเหล่านี้ช่วยให้แน่ใจว่าบริษัทในเครือทั้งหมดปฏิบัติตามมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลระดับสูงอย่างเท่าเทียมกัน
  3. การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO): ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2023 เป็นต้นมา ทั้งผู้ควบคุมข้อมูลและผู้ประมวลผลข้อมูลจะต้องแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO) หากกิจกรรมหลักของพวกเขาเกี่ยวข้องกับ:
    • การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากที่ต้องมีการตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลหรือระบบเป็นประจำ ซึ่งรวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การติดตาม ตรวจสอบ วิเคราะห์ หรือคาดการณ์พฤติกรรม ซึ่งมักพบได้ในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลโดยผู้ให้บริการเครือข่าย ผู้ประกอบการโทรคมนาคม โปรแกรมสมาชิก การให้คะแนนเครดิต หรือการป้องกันการฉ้อโกง
    • การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว ไม่ว่าข้อมูลส่วนบุคคลจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กก็ตาม
    • การไม่แต่งตั้ง DPO อาจส่งผลให้ต้องเสียค่าปรับทางปกครองสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท
  4. สัญญาความเป็นส่วนตัวของคู่ค้า: ภายใต้ PDPA สัญญาความเป็นส่วนตัวของคู่ค้าถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยมีข้อกำหนดเฉพาะสำหรับข้อตกลงการประมวลผลข้อมูลเมื่อคู่ค้าทำหน้าที่เป็นผู้ประมวลผลข้อมูล และสำหรับข้อตกลงการแบ่งปันหรือถ่ายโอนข้อมูลเมื่อคู่ค้าทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมข้อมูล
  5. พันธกรณีขององค์กรข้ามชาติ: ธุรกิจนอกประเทศไทยที่เสนอสินค้าหรือบริการให้กับบุคคลในประเทศ และติดตามพฤติกรรมออนไลน์ของผู้ใช้จะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. PDPA ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะมีธุรกรรมทางการเงินเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม องค์กรเหล่านี้จำเป็นต้องปฏิบัติตาม PDPA Thailand และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกฎหมายที่ควบคุมการถ่ายโอนข้อมูลข้ามพรมแดน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเกี่ยวกับความเหมาะสมของการปกป้องข้อมูล ข้อยกเว้น กฎเกณฑ์การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่มีผลผูกพันภายในองค์กร (BCR) หรือข้อสัญญามาตรฐาน (SCC)
  6. การบังคับใช้แบบขยายหลักดินแดนของ PDPA: มีผลบังคับใช้กับองค์กรทั้งหมดที่รวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทย หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้อยู่อาศัยในประเทศไทย ไม่ว่าองค์กรเหล่านี้จะจดทะเบียนอยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศไทย มีฐานอยู่ในประเทศไทย หรือมีสำนักงานอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม จะต้องปฏิบัติตามนโยบายของ พ.ร.บ. PDPA
  7. การแจ้งการถอนความยินยอมหรือการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์: แม้ว่าผู้ควบคุมข้อมูลสามารถประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลได้ตราบเท่าที่วัตถุประสงค์ในการรวบรวมข้อมูลยังคงไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน เจ้าของข้อมูลต้องได้รับโอกาสในการถอนความยินยอมหรือเลือกไม่ยินยอมได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ หากผู้ควบคุมข้อมูลหรือผู้ประมวลผลต้องการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากความยินยอมเดิมที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ พวกเขาจะต้องได้รับความยินยอมอย่างชัดเจนสำหรับแต่ละวัตถุประสงค์ที่แยกจากกัน
  8. การแจ้งวัตถุประสงค์การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล: ภายใต้ พ.ร.บ. PDPA ผู้ควบคุมข้อมูลมีหน้าที่แจ้งให้ผู้ใช้ทราบเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของตน การแจ้งนี้จะต้องรวมถึงวัตถุประสงค์เฉพาะในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคค รายละเอียดของผู้ควบคุมข้อมูลและเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO) บุคคลที่สามที่อาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลให้ทราบ และสิทธิของเจ้าของข้อมูล พร้อมด้วยคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการและเวลาที่เจ้าของข้อมูลสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้
  9. บันทึกรายการประมวลผลข้อมูลบุคคล: ภายใต้กฎหมาย PDPA ผู้ควบคุมข้อมูลและผู้ประมวลผลข้อมูลทั้งหมดต้องเก็บรักษาบันทึกที่ครอบคลุมเกี่ยวกับกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของตนให้ครบถ้วน การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยให้องค์กรสามารถเตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบโดยหรือการส่งเอกสารไปยัง PDPC (คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล)
  10. กฎข้อยกเว้น: โดยทั่วไปแล้ว การรวบรวม การใช้ หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหวโดยไม่ได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูลนั้นเป็นสิ่งต้องห้า ยกเว้น เมื่อจำเป็นต้องป้องกันหรือระงับภัยคุกคามต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของเจ้าของข้อมูล และบุคคลนั้นไม่สามารถให้ความยินยอมได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม

กฎหมาย PDPA และกฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนใหญ่ทั่วโลกได้รับการออกแบบมาเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายอาจมีข้อจำกัดที่สำคัญเมื่อนำไปปฏิบัติ เพื่อทำความเข้าใจผลกระทบและความสำคัญของ PDPA อย่างสมบูรณ์ เราต้องสำรวจอุปสรรคบางประการที่องค์กรต่าง ๆ อาจต้องเผชิญในการบังคับใช้และปฏิบัติตามกฎหมายให้ประสบความสำเร็จ

ความท้าทายในการปฏิบัติตาม PDPA Thailand

การนำกฎหมายใด ๆ ก็ตามมาปฏิบัติย่อมมีความท้าทาย กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอาจบังคับใช้ได้ยากเป็นพิเศษ ด้วยเหตุผลหลายประการในสภาพแวดล้อมทางดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แม้แต่ประเทศที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากที่สุดก็ยังเผชิญกับอุปสรรคในการกำหนดนโยบายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่มีประสิทธิผล ตามข้อมูลของ PricewaterhouseCoopers Consulting (Thailand) Ltd. ขอบเขตและข้อกำหนดของกฎหมาย PDPA ทำให้กฎหมายมีความซับซ้อนเป็นพิเศษ และสร้างความท้าทายให้กับองค์กรต่าง ๆ มากขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ทำการสำรวจบริษัทต่าง ๆ ในเดือนสิงหาคม 2020 เพื่อประเมินว่าบริษัทต่าง ๆ เตรียมพร้อมสำหรับการบังคับใช้ PDPA ในเดือนมิถุนายน 2021 มากเพียงใด และเพื่อระบุอุปสรรคสำคัญที่พวกเขาเผชิญในการปฏิบัติตาม PDPA

แบบสำรวจ 25 ข้อนี้ได้ถูกแจกจ่ายให้กับองค์กรต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศไทย และเปิดให้ผู้ตอบแบบสำรวจเข้าถึงได้จนถึงเดือนกันยายน 2020 ผลการสำรวจเผยให้เห็นว่าแม้ว่าบริษัทส่วนใหญ่จะทราบถึงข้อกำหนด PDPA แต่บริษัทหลายแห่งก็ยังไม่พร้อมสำหรับการบังคับใช้ ในขณะที่บริษัทบางแห่งยังไม่สามารถจัดเตรียม PDPA ในบางส่วนได้สำเร็จ เพื่อให้เข้าใจถึงความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตาม PDPA Thailand ได้ดียิ่งขึ้น เราได้สรุปอุปสรรคสำคัญบางส่วนที่ถูกกล่าวถึงในการสำรวจของ PwC ในปี 2021 และยังได้เน้นย้ำถึงข้อมูลเชิงลึกจากเอกสารวิจัยของ Damrongsak Naparat ซึ่งสำรวจเกี่ยวกับความท้าทายหลักบางประการในการนำ PDPA ไปปฏิบัติ ได้แก่:

  • ขาดเงินทุน เทคโนโลยี และทรัพยากรอื่น ๆ ที่จำเป็นนการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PDPC
  • ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการบังคับใช้กฎหมาย
  • จำเป็นต้องมีความชัดเจนว่ากฎหมายความเป็นส่วนตัวของไทยฉบับใดที่มีอำนาจเหนือกว่า หรือบังคับใช้ในสถานการณ์เฉพาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกฎระเบียบเฉพาะภาคส่วนขัดแย้งกับ PDPA
  • ขาดการตระหนักรู้หรือการศึกษาเกี่ยวกับภาระผูกพันด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่บริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของผู้บริโภคหรือบริษัทก็ตาม
  • ขาดเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือทีมงานเฉพาะด้านที่ทุ่มเทให้กับงานด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
  • บริษัทและผู้ใช้ไม่ให้ความสำคัญกับปัญหาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลอย่างจริงจัง

แม้ว่าความท้าทายที่เผชิญระหว่างการนำ PDPA ไปปฏิบัติจะเป็นเรื่องยาก และอาจยังคงเป็นปัญหาสำหรับบริษัทหลายแห่งในปัจจุบัน แต่ก็มีวิธีการที่ง่ายกว่าสำหรับธุรกิจต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาปฏิบัติตามข้อกำหนดตลอดเวลา

ธุรกิจต่าง ๆ สามารถปฏิบัติตาม PDPA Thailand ได้อย่างไร

การปฏิบัติตามกฎหมายถือเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับธุรกิจใด ๆ การปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของข้อมูลจะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายจากบทลงโทษ คดีความ และผลทางกฎหมายอื่น ๆ ที่ตามมา นอกจากนี้ การปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อมูลสำ หรับธุรกิจยังนำมาซึ่งประโยชน์อื่น ๆ ได้แก่:

  • การแสดงให้เห็นถึงชื่อเสียงที่เชื่อถือได้และความรับผิดชอบต่อลูกค้า รัฐบาล และนักลงทุน
  • การปรับปรุงประสิทธิภาพด้วยขั้นตอนมาตรฐานที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ
  • การลดภัยคุกคามทางไซเบอร์และการสูญเสียข้อมูลโดยบังคับใช้โปรโตคอลความปลอดภัย
  • การมอบความได้เปรียบในการแข่งขันระหว่างบริษัทคู่แข่ง
  • การเป็นลูกค้ารายสำคัญสำหรับสัญญาภาครัฐ
  • การสร้างวัฒนธรรมแห่งพฤติกรรมที่มีจริยธรรมภายในบริษัทของคุณ

สำหรับกฎหมาย PDPA Thailand มีข้อกำหนดสำคัญบางประการที่ธุรกิจต้องปฏิบัติตาม PDPA ข้อกำหนดเหล่านี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าองค์กรต่าง ๆ สามารถประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างถูกกฎหมายในขณะที่ปกป้องสิทธิ์ของเจ้าของข้อมูล

ข้อกำหนดหลักสำหรับการปฏิบัติตาม PDPA สำหรับธุรกิจ:

  1. การได้รับความยินยอมจากผู้ใช้อย่างชัดแจ้งและมีการแจ้งให้ผู้ใช้ทราบเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูล โดยความยินยอมจะต้องได้รับไว้อย่างชัดเจนในรูปแบบคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรหรือทางอิเล็กทรอนิกส์ หากเป็นไปได้
  2. การแจ้งหรือการเปิดเผยเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลเมื่อร้องขอความยินยอมจากผู้ใช้ ผู้ใช้จะต้องยินยอมให้ประมวลผลข้อมูลด้วยความสมัครใจ และมีสิทธิ์ถอนความยินยอมได้อย่างง่ายดายทุกเมื่อ
  3. การกำหนดและรักษานโยบายความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่สอดคล้องกับข้อกำหนดการประมวลผลข้อมูลภายใต้ PDPA
  4. ควบคุมข้อมูลและผู้ประมวลข้อมูลผลภายใต้ พ.ร.บ. PDPA ของประเทศไทยจะต้องทำข้อตกลงตามสัญญาที่กำหนดให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งหมดที่กฎหมายกำหนด
  5. การแจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่าข้อมูลจะถูกเก็บไว้เป็นเวลานานเท่าใด ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเมื่อถึงจุดที่รวบรวมข้อมูลหรือการแจ้งล่วงหน้า และควรรวบรวมข้อมูลเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น หากไม่สามารถระบุวันที่ได้ บริษัทจะต้องชี้แจงกระบวนการที่ใช้ในการกำหนดระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูล
  6. การนำมาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่เข้มงวดมาปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงของการละเมิดข้อมูลและการโจมตีทางไซเบอร์
  7. การให้สิทธิ์เข้าถึงและควบคุมข้อมูลแก่เจ้าของข้อมูล ซึ่งรวมถึงการให้สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิ์ในการถอนความยินยอมได้ตลอดเวลา สิทธิ์ในการแก้ไข ลบ จำกัด หรือคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิ์ในการเคลื่อนย้ายข้อมูล และสิทธิ์ในการยื่นคำร้องเรียนต่อสำนักงาน PDPC
  8. การแต่งตั้ง DPO หากกิจกรรมหลักของธุรกิจกำหนดไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าปฏิบัติตาม PDPA และทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อสำหรับเจ้าของข้อมูล ภายใต้กฎหมายเจ้าหน้าที่มีหน้าที่ให้คำแนะนำแก่องค์กรเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม PDPA ของประเทศไทย ตรวจสอบว่าผู้ควบคุมข้อมูลและ/หรือผู้ประมวลผลข้อมูลปฏิบัติตามกฎหมายอย่างครบถ้วนหรือไม่ ประสานงานกับหน่วยงานกำกับดูแลที่บังคับใช้กฎหมายตามความจำเป็น และรักษาความลับเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดที่ได้รับในขณะทำงานเป็น DPO ผู้ประมวลผลข้อมูลและผู้ควบคุมข้อมูลต้องให้ข้อมูลติดต่อของ DPO แก่ผู้ใช้ด้วย
  9. การแต่งตั้ง DPO หากกิจกรรมหลักของธุรกิจกำหนดไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าปฏิบัติตาม PDPA และทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อสำหรับเจ้าของข้อมูล ภายใต้กฎหมายเจ้าหน้าที่มีหน้าที่ให้คำแนะนำแก่องค์กรเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม PDPA ของประเทศไทย ตรวจสอบว่าผู้ควบคุมข้อมูลและ/หรือผู้ประมวลผลข้อมูลปฏิบัติตามกฎหมายอย่างครบถ้วนหรือไม่ ประสานงานกับหน่วยงานกำกับดูแลที่บังคับใช้กฎหมายตามความจำเป็น และรักษาความลับเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดที่ได้รับในขณะทำงานเป็น DPO ผู้ประมวลผลข้อมูลและผู้ควบคุมข้อมูลต้องให้ข้อมูลติดต่อของ DPO แก่ผู้ใช้ด้วย
  10. การลงนามในข้อตกลงการประมวลผลข้อมูลหรือข้อตกลงการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างผู้ควบคุมข้อมูลและผู้ประมวลผลข้อมูล
  11. การสร้างการประเมินผลกระทบต่อการปกป้องข้อมูล เพื่อระบุความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและมาตรการในการบรรเทาความเสี่ยงเหล่านั้น

หากไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าว อาจส่งผลให้ต้องเสียค่าปรับและโทษเราตามที่รัฐกำหนด เราได้แจกแจงกระบวนการเหล่านี้ออกเป็นส่วน ๆ เพื่อความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้น

ค่าปรับและบทลงโทษภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทย

การละเมิดกฎหมาย PDPA ของประเทศไทยอาจส่งผลให้ต้องเสียค่าปรับสูงสุดถึง 5 ล้านบาท หรือประมาณ 145,000 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ธุรกิจต่าง ๆ ยังอาจต้องถูกดำเนินคดีอาญาและอาจถูกสั่งให้หยุดกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลทั้งหมด หากเกิดการละเมิดข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูลจะต้องแจ้งการละเมิดข้อมูลไปยัง PDPC ภายใน 72 ชั่วโมง

การแจ้งการละเมิดข้อมูลต้องระบุถึงลักษณะของเหตุการณ์ รายละเอียดการติดต่อของผู้ควบคุมข้อมูลหรือ DPO ผลที่อาจเกิดขึ้น และมาตรการบรรเทาผลกระทบที่ดำเนินการไปแล้วหรือจะดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากการละเมิดข้อมูลมีแนวโน้มที่จะส่งผลให้เกิดภัยคุกคามร้ายแรงต่อสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูล ผู้ควบคุมข้อมูลจะต้องแจ้งการละเมิดข้อมูลรวมถึงมาตราการดำเนินการแก้ไขให้ทั้ง PDPC และเจ้าของข้อมูลที่ได้รับผลกระทบทราบโดยเร็ว ในกรณีที่การละเมิดข้อมูลส่งผลกระทบต่อเจ้าของข้อมูลหลายราย ผู้ควบคุมข้อมูลสามารถแจ้งให้พวกเขาทราบได้โดยการแจ้งเป้นรายบุคคลด้วยตนเองหรือผ่านช่องทางสาธารณะ สื่อ โซเชี ยลมีเดีย สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือช่องทางอื่นใดที่เจ้าของข้อมูลหรือสาธารณชนทั่วไปเข้าถึงได้

เพื่อเน้นย้ำถึงความร้ายแรงของบทลงโทษเหล่านี้ เราสามารถดูค่าปรับทางปกครองครั้งแรกที่ออกภายใต้กฎหมาย PDPA ได้อย่างง่ายดาย ในเดือนสิงหาคม 2024 คณะผู้เชี่ยวชาญชุดที่สองซึ่งได้รับการแต่งตั้งภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทยได้กำหนดค่าปรับทางปกครอง แก่บริษัทเอกชนรายใหญ่แห่งหนึ่งที่ประกอบธุรกิจการขายออนไลน์ บริษัทดังกล่าวปล่อยให้ข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากรั่วไหลไปยังกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ โดยไม่ได้ดำเนินการตามมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมตามที่ PDPA กำหนด

คณะกรรมการได้กำหนดค่าปรับทางปกครองสูงสุด 7 ล้านบาท ฐานไม่แต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO) มาตรการรักษาความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอ และไม่รายงานการละเมิดข้อมูล นอกเหนือจากค่าปรับแล้ว บริษัทยังได้รับคำสั่งให้ปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลในอนาคต และต้องฝึกอบรมพนักงาน โดยจัดทำรายงานเกี่ยวกับการปรับปรุงเหล่านี้ให้ PDPC ภายใน 7 วัน หลังจากได้รับคำสั่ง

เพื่อให้ธุรกิจปฏิบัติตามกฎหมายและนโยบายความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ธุรกิจต่าง ๆ จำเป็นต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและแพลตฟอร์มที่เหมาะสมเพื่อจัดการและรักษาความปลอดภัยข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างที่สามารถดำเนินการได้รวมถึง:

  • การอัป เดตนโยบายความเป็นส่วนตัวและนโยบายคุกกี้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดทั้งหมดในการแจ้งข้อมูลให้ผู้ใช้ทราบเกี่ยวกับวิธีการรวบรวมข้อมูล
  • การนำแพลตฟอร์มการจัดการความยินยอมที่มีแบนเนอร์ความยินยอมที่กำหนดค่าไว้อย่างเหมาะสมมาใช้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงตัวเลือกเข้าร่วมหรือออกจากระบบได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดที่กฎหมายกำหนดไว้
  • การทำ ให้ผู้ใช้มั่นใจว่าสามารถใช้สิทธิ์ของตนนั้นได้ง่าย โดยเพิ่มแบบฟอร์มคำขอเข้าถึงข้อมูลของเจ้าของข้อมูล (DSAR) บนเว็บไซต์ของคุณ
  • การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่สำคัญจากคู่ค้าที่เชื่อถือได้

โชคดีที่ Sangfor Technologies นำเสนอแพลตฟอร์มและบริการที่ครอบคลุม ซึ่งออกแบบเพื่อรับประกันด้านความปลอดภัยของข้อมูลโดยเฉพาะ บริการเหล่านี้รวมถึง:

  1. การปกป้องความปลอดภัยของเครือข่าย - Next-Generation Firewall (Network Secure) ระบบการรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายของ Sangfor เป็นแพลตฟอร์มไฟร์ วอลล์ ตัวแรกของโลกที่ผสานรวมเทคโนโลยี AI, Cloud Threat Intelligence, NG-WAF, IoT Security และ SoC Lite เข้าด้วยกัน โดยการผสานรวมนี้ช่วยกำจัดภัยคุกคามภายนอกได้อย่างราบรื่นกว่า 99% ทั่วทั้งเครือข่าย และรักษาการปฏิบัติตามข้อกำหนดของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. ป้องกันแรนซัมแวร์ และการละเมิดข้อมูล - รับประกันความปลอดภัยของข้อมูลด้วยแพลตฟอร์มป้องกันแรนซัมแวร์ ของ Sangfor ซึ่งเป็นโซลูชันด้านความปลอดภัยเพียงโซลูชันเดียวที่ได้รับการจัดเตรียมอย่างพิเศษเพื่อรับมือกับวงจรชีวิตทั้งหมดของการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ด้วยการใช้ AI และการทำงานร่วมกันระหว่าง การรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย (Network Secure) และ การรักษาความปลอดภัยให้กับอุปกรณ์ปลายทาง (Endpoint Secure) เพื่อตรวจจับและบล็อกการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ได้ในเวลาเพียง 3 วินาที การรักษาความปลอดภัยให้กับอุปกรณ์ปลายทาง (Endpoint Secure) ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับการปฏิบัติตามข้อกำหนดโดยการรวมแอนตี้ไวรัส การตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามที่มุ่งโจมตีอุปกรณ์ปลายทาง (EDR) และความสามารถในการจัดการอุปกรณ์ปลายทางเข้าเป็นโซลูชันเดียวเพื่อการป้องกันแบบบูรณาการในจุดที่เสี่ยง
  3. การรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่สำคัญผ่านโครงสร้างพื้นฐา นคลาวด์ - บริษัทต่าง ๆ สามารถปกป้องข้อมูลของตนได้โดยการใช้โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จ (HCI) และ บริการจัดการระบบคลาวด์ (MCS) ของ Sangfor มอบแพลตฟอร์มที่เหมาะสำหรับการประมวลผลบนคลาวด์ ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมการปกป้องนี้ Secure Access Service Edge (SASE) ช่วยรับรองการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยบนคลาวด์ ด้วยการผสานรวมคุณลักษณะด้านความปลอดภัยขั้นสูง เช่น Zero Trust Network Access (ZTNA) และ Cloud Access Security Broker (CASB) ซึ่งเป็นเครื่องมือตรวจสอบการรับรองสิทธิ์ของผู้ใช้ การตรวจสอบการรับส่งข้อมูลที่เข้ารหัส และการบังคับใช้ตามนโยบายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานการกำกับดูแลได้อย่างราบรื่น
  4. การจัดหาโซลูชันการกู้คืนระบบจากภัยพิบัติ - ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งของการปฏิบัติตามข้อกำหนดคือความสามารถในการกู้คืนระบบจากภัยพิบัติ Sangfor นำเสนอแผนการจัดการการกู้คืนระบบจากภัยพิบัติ ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งระบุขั้นตอนและโปรโตคอลระหว่างเหตุการณ์ที่ชัดเจน เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจจะมีความต่อเนื่องและลดการสูญเสียข้อมูล

เหล่านี้ถือเป็นมาตรการที่ยอดเยี่ยมที่ธุรกิจต่าง ๆ ควรนำมาใช้เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามข้อบังคับด้านการคุ้มครองข้อมูล อย่างไรก็ตาม ประชาชนทั่วไปจำเป็นต้องทำความเข้าใจความหมายและผลกระทบของ PDPA ไว้ด้วยเช่นกัน

PDPA ของไทยส่งผลต่อผู้บริโภคอย่างไร?

แม้ว่า PDPA Thailand จะมุ่งเป้าไปที่ธุรกิจที่ควบคุม รวบรวม และจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหลัก แต่กฎหมายดังกล่าวยังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผู้บริโภคด้วยการให้สิทธิบางประการแก่ผู้บริโภคในการรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายนี้ครอบคลุมถึงข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลธรรมดาในประเทศไทย ซึ่งคุ้มครองการรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลโดยผู้ควบคุมข้อมูลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลที่อยู่ในประเทศไทย โดยไม่คำนึงว่าข้อมูลที่รวบรวมมาจากที่ใด สิทธิของผู้บริโภคที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้ พ.ร.บ. PDPA ได้แก่:

  1. สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล - ผู้บริโภคมีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลใด ๆ ของตน เมื่อข้อมูลนั้นถูกรวบรวมและประมวลผลโดยผู้ควบคุมข้อมูล
  2. สิทธิ์ในการร้องขอแก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง - ผู้บริโภคสามารถร้องขอให้แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องได้
  3. สิทธิ์ในการร้องขอให้ลบข้อมูล - ผู้ใช้สามารถร้องขอให้ลบข้อมูลส่วนบุคคลของตนได้ภายใต้เงื่อนไขบางประการ
  4. สิท ธิ์ในการเคลื่อนย้ายข้อมูล - ผู้บริโภคมีสิทธิ์ได้รับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง
  5. สิทธิ์ในการถอนความยินยอมได้ตลอดเวลา - ผู้บริโภคสามารถเลือกที่จะไม่แบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลของตนได้ตลอดเวลา รวมถึงการตลาดโดยตรงด้วย
  6. สิทธิ์ในการได้รับข้อมูล - ผู้ใช้มีสิทธิ์ที่จะได้รับแจ้งว่ามีการรวบรวมข้อมูลใดเกี่ยวกับตนเอง เหตุใดจึงรวบรวมข้อมูลดังกล่าว และจะเก็บรักษาข้อมูลดังกล่าวเป็นเวลานานเพียงใด

ใครบ้างที่ได้รับการยกเว้นจาก PDPA ของประเทศไทย?

หน่วยงานต่อไปนี้ได้รับการยกเว้นจากการปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA ของประเทศไทยภายใต้ พ.ร.บ. PDPA:

  • บุคคลที่นำข้อมูลไปใช้เพื่อกิจกรรมส่วนตัวหรือในครัวเรือน
  • หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยของรัฐ รวมถึงความปลอดภัยทางการเงินหรือความปลอดภัยสาธารณะ
  • บุคคลหรือนิติบุคคลที่ใช้ข้อมูลที่รวบรวมข้อมูลเพื่อกิจกรรมสื่อมวลชน ศิลปกรรม และวรรณกรรม ตามจรรยาบรรณวิชาชีพหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ
  • สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภา
  • ศาลที่มีการพิจารณาคดีและการพิพากษาคดี
  • การดำเนินการของบริษัทเครดิตบูโร

บทสรุป

กฎหมาย PDPA Thailand ถือเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องประชาชนจากการใช้ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนในทางที่ผิด ทั้งธุรกิจและบุคคลต่างก็ได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสังคมที่มีจริยธรรมและลดความเสี่ยงในการละเมิดความปลอดภัย การสำรวจที่ดำเนินการโดย Deloitte Thailand เผยให้เห็นว่า 72% ขององค์กรมีความมั่นใจในความสามารถของตนในการปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA เนื่องจากปฏิบัติตามกฎระเบียบและประเมินความพร้อมของตนเองอย่างสม่ำเสมอ ความมุ่งมั่นในการปกป้องข้อมูลนี้ช่วยส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัย มีวินัย และมีประสิทธิภาพ ปราศจากภัยความกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์

สำหรับองค์กรที่ต้องการปรับปรุงการปฏิบัติตามกฎหมาย เราขอแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเพื่อพิจารณาว่าองค์กรของคุณสามารถปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลได้อย่างไร Sangfor Technologies นำเสนอโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานและโซลูชันด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์มากมายที่ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างการปฏิบัติตามกฎหมายด้วยเช่นกัน ติดต่อเราได้แล้ววันนี้เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม หรือเยี่ยมชม www.sangfor.com เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม

แหล่งข้อมูลสำหรับข้อมูล PDPA Thailand

เหล่านี้คือแหล่งข้อมูลสำคัญบางส่วนที่ผู้บริโภคและธุรกิจสามารถใช้เพื่อเรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA Thailand และข้อกำหนดการปฏิบัติตามกฎหมาย

คำถามที่พบบ่อย

ประกาศข้อยกเว้น RoPA จัดประเภทผู้ควบคุมข้อมูลที่ถือว่าเป็น “ธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดกลาง” ให้ได้รับการยกเว้นจากภาระผูกพันในการจัดทำและรักษาบันทึกกิจกรรมการประมวลผล (RoPA) ภายใต้มาตรา 39 ของกฎหมาย พ.ร.บ. PDPA (โดยมีข้อยกเว้นบางประการ)

ธุรกิจใด ๆ ในประเทศไทยที่รวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม ข้อมูลใด ๆ ที่รวบรวมและใช้ในบริบทเพื่อกิจกรรมส่วนบุคคลหรือในครัวเรือนจะได้รับการยกเว้น

พ.ร.บ. PDPA กำหนดแนวปฏิบัติสำหรับข้อมูลส่วนบุคคล 2 ประเภท ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป (GPD) และข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว (SPD)

ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป ประกอบด้วย ข้อมูลส่วนบุคคลใด ๆ ที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ซึ่งรวมถึงชื่อ ที่อยู่ รายละเอียดการติดต่อ รหัสลูกค้า อายุ เพศ ส่วนสูง ชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และที่อยู่ IP

ข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหวต้องได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูล และรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่เปิดเผยเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อทางศาสนาหรือปรัชญา หรือการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน และการประมวลผลข้อมูลทางพันธุกรรม ข้อมูลไบโอเมตริกซ์ เพื่อจุดประสงค์ในการระบุตัวตนของบุคคลโดยเฉพาะ ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ หรือข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตทางเพศหรือรสนิยมทางเพศของบุคคล

Search

Get in Touch

Get in Touch with Sangfor Team for Business Inquiry

Related Articles

Cyber Security

SWG (Secure Web Gateway) ตัวช่วยสำคัญจากภัยร้ายจากการท่องเว็บไซต์และอินเทอร์เน็ต

Date : 20 Dec 2024
Read Now
Cyber Security

Top Cisco Alternatives and Competitors

Date : 17 Dec 2024
Read Now
Cyber Security

Top Antivirus Software for Enterprise Brands

Date : 12 Dec 2024
Read Now

See Other Product

Platform-X
Sangfor Access Secure - โซลูชัน SASE
Sangfor SSL VPN
Best Darktrace Cyber Security Competitors and Alternatives in 2024
Sangfor Omni-Command
Replace your Enterprise NGAV with Sangfor Endpoint Secure