ในยุคดิจิทัลที่การโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Attack) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง Network Security ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญสำหรับองค์กรทุกขนาด ทั้งนี้ ระบบเครือข่ายที่ไม่มีการป้องกันที่แข็งแกร่งเพียงพอ อาจนำไปสู่ความเสียหายทั้งด้านทรัพย์สินและชื่อเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อองค์กรต้องเผชิญกับภัยคุกคามที่ซับซ้อน อย่างมัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) หรือการโจมตีแบบฟิชชิ่ง (Phishing)

Network Security คืออะไร

Network Security คือ ระบบ มาตรการ และเทคนิคต่างๆ ที่ใช้ในการรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุมทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อปกป้องโครงสร้างเครือข่าย และข้อมูลสำคัญขององค์กรจากการโจมตีทางไซเบอร์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการโจรกรรมข้อมูล เรียกค่าไถ่ หรือแทรกซึมเข้าสู่เครือข่ายคอมพิวเตอร์ พูดได้ว่า Network Security เปรียบเสมือนเป็นเกราะป้องกันองค์กรและบุคคลจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ที่ยิ่งนับวัน ยิ่งมีจำนวนและความรุนแรงมากขึ้น

Network Security การรักษาความปลอดภัยเครือข่ายที่สำคัญต่อองค์กร

Network Security สำคัญต่อองค์กรอย่างไร

โดยทั่วไปแล้ว Network Security คือมาตรการที่ทุกองค์กรควรมีไว้เพื่อทำให้พนักงานสามารถรับ-ส่งข้อมูลถึงกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว แต่หากระบบเครือข่ายถูกแฮ็กเกอร์โจมตี ประกอบกับมีช่องโหว่หรือจุดอ่อนในระบบรักษาความปลอดภัยก็อาจจะทำให้ข้อมูลรั่วไหลออกสู่คนภายนอกได้ทันที

ดังนั้นองค์กรทุกขนาดจึงต้องใส่ใจและให้ความสำคัญกับ Network Security เพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญขององค์กรให้ปลอดภัย ไม่รั่วไหล หรือถูกขโมย ด้วยการติดตั้งระบบป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ ไม่ว่าจะเป็นไฟร์วอล (Firewall) แอนตี้ไวรัส และอื่นๆ ที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หลักการทำงานของ Network Security

Network Security ของแต่ละองค์กร รวมถึงระบบความปลอดภัยจากผู้ให้บริการล้วนมีหลักการทำงานที่แตกต่างกันไป ซึ่งธุรกิจต่างๆ อาจมีการออกแบบ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และนโยบายการรักษาความปลอดภัยแตกต่างกัน ซึ่งโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

1. Physical Network Security

Physical Network Security การควบคุมการเข้าถึงเครือข่ายทางกายภาพ และเป็นด่านแรกในการป้องกันระบบเครือข่าย เช่น การสแกนลายนิ้วมือ (Biometric Authentication) บัตรผ่านอิเล็กทรอนิกส์ (Access Cards) หรือรหัส PIN

เพื่อเข้าถึงแหล่งจัดเก็บข้อมูล หรือคอมพิวเตอร์ขององค์กร นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการจัดการสายเคเบิลและอุปกรณ์เครือข่ายอย่างเป็นระบบ การควบคุมการเข้าถึงห้องเซิร์ฟเวอร์และศูนย์ข้อมูล

2. Technical Network Security

คือ การทำงานด้านเทคนิคในการรักษาความปลอดภัย ที่ทำหน้าที่ในการปกป้องข้อมูลภายในเครือข่ายขององค์กร โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ การป้องกันข้อมูลจากบุคคลภายนอกหรือแฮ็กเกอร์ (Hacker) และป้องกันกิจกรรมที่ไม่พึงประสงค์จากพนักงานภายในองค์กร

โดย Technical Network Security อาจประกอบไปด้วยระบบป้องกันที่หลากหลาย เช่น Firewall (ไฟร์วอลล์) อย่าง Sangfor NGFW ระบบตรวจจับและป้องกันการบุกรุกอย่าง EDR หรือ MDR รวมไปถึงมาตรการป้องกันและกู้คืนข้อมูลจากการถูกโจมตี (Data Loss Prevention)

3. Administrative Network Security

Administrative Network Security นั้นเกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายและขั้นตอนการรักษาความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นวิธีการตรวจสอบสิทธิ์ ระดับการเข้าถึง วิธีการดำเนินงานต่างๆ รวมไปถึงการฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์

ระบบ Network Security มีรูปแบบใดบ้าง

การรักษาความปลอดภัยเครือข่ายในยุคดิจิทัลจำเป็นต้องมีระบบป้องกันที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ มาดูกันว่าระบบ Network Security ที่องค์กรควรพิจารณาติดตั้งนั้นมีอะไรบ้าง

  • ไฟร์วอลล์ (Firewall)

Firewall เป็นระบบรักษาความปลอดภัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกองค์กร โดยทำหน้าที่เสมือนเป็นด่านตรวจสอบ Traffic ของข้อมูลที่เข้าออกเครือข่าย ซึ่งระบบจะทำการตรวจสอบและควบคุมการไหลเวียนของข้อมูล พร้อมทั้งกรองและบล็อก Traffic ที่น่าสงสัยหรือเป็นอันตราย

ในปัจจุบัน Next Generation Firewall (NGFW) ได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถที่ซับซ้อนมากขึ้น นอกจากการตรวจสอบแพ็กเก็ตพื้นฐานแล้ว ยังสามารถวิเคราะห์การใช้งานแอปพลิเคชันและป้องกันภัยคุกคามขั้นสูงได้อีกด้วย องค์กรสามารถเลือกใช้ไฟร์วอลล์ได้ทั้งในรูปแบบฮาร์ดแวร์ที่เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ หรือซอฟต์แวร์ที่เหมาะกับองค์กรขนาดเล็กที่ต้องการความยืดหยุ่นในการติดตั้งและปรับแต่ง

  • ระบบป้องกันไวรัสและมัลแวร์ (Antivirus และ Anti-Malware)

ระบบ Antivirus และ Anti-Malware เป็นองค์ประกอบสำคัญในการรักษาความปลอดภัยในระดับอุปกรณ์ปลายทาง ระบบนี้ทำงานโดยการตรวจจับและกำจัดโปรแกรมอันตรายต่างๆ ที่อาจแฝงตัวเข้ามาในเครือข่ายแบบเรียลไทม์ จึงช่วยให้สามารถป้องกันภัยคุกคามได้ทันทีที่ตรวจพบ พร้อมทั้งมีการอัปเดตฐานข้อมูลภัยคุกคามใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา

  • ความปลอดภัยบนคลาวด์ (Cloud Security)

ในยุคที่องค์กรส่วนใหญ่ย้ายข้อมูลและระบบงานไปบนคลาวด์ ทำให้ Cloud Security กลายเป็นสิ่งจำเป็น โดยระบบ Cloud Security มักประกอบด้วยการเข้ารหัสข้อมูลที่จัดเก็บและส่งผ่านเครือข่าย การควบคุมการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเข้มงวด และการติดตามกิจกรรมบนคลาวด์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังรวมถึงการป้องกันการโจมตีแบบ DDoS และการรักษาความปลอดภัยของ API ที่ใช้ในการเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์

  • ระบบป้องกันการบุกรุก (Intrusion Prevention System: IPS)

Intrusion Prevention System (IPS) เป็นระบบที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังและป้องกันการบุกรุกจากภายนอกอย่างอัตโนมัติ ระบบจะวิเคราะห์รูปแบบการโจมตีและดำเนินการป้องกันทันทีที่ตรวจพบภัยคุกคาม พร้อมทำงานร่วมกับไฟร์วอลล์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันเครือข่ายให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทำให้องค์กรสามารถรับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • การป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล (Data Loss Prevention: DLP)

Data Loss Prevention (DLP) ออกแบบมาเพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญขององค์กรไม่ให้เกิดการรั่วไหล ระบบจะทำการจำแนกและติดตามการใช้งานข้อมูลสำคัญ ควบคุมการเคลื่อนย้ายข้อมูล และบังคับใช้นโยบายการรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่จัดเก็บ ข้อมูลที่กำลังจัดส่ง และข้อมูลที่กำลังใช้งาน ทำให้องค์กรมั่นใจได้ว่าข้อมูลสำคัญจะไม่รั่วไหลออกไปสู่ภายนอก

  • ความปลอดภัยทางอีเมล (Email Security)

Email Security เป็นระบบที่มีความสำคัญในการป้องกันการโจมตีผ่านทางอีเมล เช่น การฟิชชิ่ง (Phishing) โดยระบบจะทำการกรอง Junk Email ตรวจจับอีเมลที่น่าสงสัย และสแกนไฟล์แนบที่อาจเป็นอันตราย นอกจากนี้ยังมีการเข้ารหัสอีเมล และตรวจสอบความถูกต้องของผู้ส่งเพื่อป้องกันการปลอมแปลง ทำให้การสื่อสารทางอีเมลขององค์กรมีความปลอดภัยสูงสุด

ในการติดตั้งและใช้งานระบบรักษาความปลอดภัยเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพ องค์กรต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เริ่มจากการประเมินความต้องการและกำหนดงบประมาณที่เหมาะสม เลือกใช้โซลูชันที่เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ และให้ผู้เชี่ยวชาญดำเนินการติดตั้ง ที่สำคัญคือ ต้องมีการทดสอบระบบอย่างละเอียดและสม่ำเสมอ พร้อมทำการฝึกอบรมผู้ใช้งานให้เข้าใจวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง ก็จะช่วยให้ระบบรักษาความปลอดภัยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

ประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับจาก Network Security

การลงทุนในระบบ Network Security ที่ครบถ้วนและมีประสิทธิภาพจะนำมาซึ่งประโยชน์หลายประการสำหรับองค์กร ทั้งในด้านความปลอดภัย การดำเนินธุรกิจ และความน่าเชื่อถือ ดังนี้

  • การปกป้องข้อมูลและทรัพย์สินดิจิทัล

Network Security ที่แข็งแกร่งช่วยปกป้ององค์กรจากภัยคุกคามทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นไวรัส มัลแวร์ หรือการโจมตีทางไซเบอร์รูปแบบต่างๆ การมีระบบป้องกันที่ครอบคลุมจะช่วยลดความเสี่ยงของการสูญเสียข้อมูลสำคัญ และป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลที่มีความอ่อนไหว เช่น ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลทางการเงิน หรือความลับทางธุรกิจ

  • การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน

ระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและราบรื่น ลดการหยุดชะงักของระบบที่อาจเกิดจากการโจมตีทางไซเบอร์ นอกจากนี้ยังช่วยในการจัดการและติดตามการใช้งานทรัพยากรเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้องค์กรสามารถวางแผนและจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม

  • การสร้างความน่าเชื่อถือ

การมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการปกป้องข้อมูลของลูกค้าและพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย นำไปสู่โอกาสทางธุรกิจที่มากขึ้นและความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยั่งยืน

  • การปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐาน

ระบบรักษาความปลอดภัยที่ครบถ้วนช่วยให้องค์กรสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เช่น PDPA, GDPR และมาตรฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกปรับหรือดำเนินคดีทางกฎหมาย

  • การประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

แม้ว่าการลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยอาจมีค่าใช้จ่ายสูงในตอนแรก แต่เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการถูกโจมตีทางไซเบอร์ เช่น การกู้คืนระบบ การสูญเสียข้อมูล หรือค่าปรับจากการละเมิดกฎหมาย การมีระบบป้องกันที่ดีจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ

  • การเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน

ระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยช่วยให้องค์กรสามารถรองรับรูปแบบการทำงานที่หลากหลาย เช่น การทำงานระยะไกล (Remote Work) หรือการใช้อุปกรณ์ส่วนตัวในการทำงาน (BYOD) ได้อย่างปลอดภัย เพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว

โซลูชัน Network Security จาก Sangfor

Sangfor มุ่งมั่นที่จะให้บริการเครื่องมือและบริการ Network Security ที่มีประสิทธิภาพในราคาที่เหมาะสม เช่น Sangfor NGFW ที่เป็น Next Generation Firewall ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ภัยคุกคามขั้นสูงผ่านเทคโนโลยี AI และ Machine Learning พร้อมระบบป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล (Data Loss Prevention) และการป้องกันการโจมตีแบบ Zero-day ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้องค์กรสามารถรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนในปัจจุบันได้อย่างมั่นใจ

หากองค์กรของคุณกำลังมองหาโซลูชันด้านความปลอดภัยที่ครบวงจร สามารถติดต่อ Sangfor เพื่อปรึกษาและหาแนวทางการป้องกันเครือข่ายที่เหมาะสมกับความต้องการขององค์กรคุณ

Search

Get in Touch

Get in Touch with Sangfor Team for Business Inquiry

Name
Email Address
Business Phone Number
Tell us about your project requirements

Related Glossaries

Cyber Security

What is Network Configuration: A Comprehensive Guide

Date : 19 Feb 2025
Read Now
Cyber Security

SSL คืออะไร ทำไมเว็บไซต์ขององค์กรถึงควรมี SSL Certificate

Date : 11 Feb 2025
Read Now
Cyber Security

What Is Enterprise Mobility Management (EMM)?

Date : 04 Jan 2025
Read Now

See Other Product

Sangfor Omni-Command
Sangfor Endpoint Secure แอนตี้ไวรัสยุคใหม่ (NGAV) สำหรับองค์กรของคุณ
Cyber Command - NDR Platform - Sangfor Cyber Command - แพลตฟอร์ม NDR
Sangfor Endpoint Secure
Internet Access Gateway (IAG)
Sangfor Network Secure - Next Generation Firewall (NGFW)