การโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ (Ransomware) และภัยคุกคามขั้นสูง (APTs) อื่นๆ กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยการโจมตีทางไซเบอร์ที่ประสบความสำเร็จสามารถทำลายธุรกิจของบริษัท และมีผลกระทบที่ร้ายแรง ซึ่งรวมถึงการสูญเสียข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เงิน หรือชื่อเสียง ส่งผลให้ธุรกิจหลายแห่งจำเป็นต้องลงทุนในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อป้องกันผลกระทบดังกล่าว ซึ่งนี่คือ จุดที่ Endpoint Detection and Response หรือ EDR เข้ามามีบทบาทในการปกป้องบริษัทจากภัยคุกคามที่เป็นอันตราย;
EDR คืออะไร?
Endpoint Detection and Response คือ ระบบรักษาความปลอดภัยที่ช่วยตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามที่มุ่งโจมตีอุปกรณ์ปลายทางในเครือข่าย เช่น เซิร์ฟเวอร์ แล็ปท็อป คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และอุปกรณ์พกพา เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้สามารถเชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้ง่าย จึงเสี่ยงต่อการถูกโจมตี ระบบ EDR จะช่วยให้ทีมไอทีตรวจสอบพฤติกรรมของอุปกรณ์เหล่านี้ได้แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถระบุและป้องกันพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายได้ก่อนที่จะเกิดการโจมตีทางไซเบอร์
คำว่า Endpoint Threat Detection and Response ถูกคิดขึ้นครั้งแรกโดย Anton Chuvakin จาก Gartner โดยเขาได้ระบุว่า โซลูชันความปลอดภัย EDR จะต้องมีความสามารถดังนี้
- ตรวจจับเหตุการณ์ความปลอดภัย
- ควบคุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในอุปกรณ์ปลายทาง
- ตรวจสอบเหตุการณ์ความปลอดภัย
- ให้คำแนะนำในการแก้ไข
EDR ทํางานอย่างไร?
ระบบ EDR อาศัยซอฟต์แวร์ขนาดเล็กที่ติดตั้งบนอุปกรณ์ปลายทาง ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าสังเกต และบันทึกกิจกรรมของอุปกรณ์แบบเรียลไทม์อย่างต่อเนื่อง โดยครอบคลุมทั้งบันทึกระบบ การเปลี่ยนแปลงในรีจิสทรี (Registry) การเชื่อมต่อเครือข่าย และกิจกรรมของไฟล์ต่างๆ หลังจากนั้นซอฟต์แวร์จะส่งข้อมูลที่รวบรวมได้ไปยังเซิร์ฟเวอร์กลาง แล้วทำการวิเคราะห์โดยอัลกอริทึมขั้นสูง และเทคนิค Machine Learning เพื่อตรวจจับกิจกรรมที่เป็นอันตราย หากพบภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น ระบบ EDR จะแจ้งเตือนไปยังทีมรักษาความปลอดภัย พร้อมระบุแหล่งที่มาของการโจมตี ประเภทของการโจมตี และอุปกรณ์ปลายทางที่ได้รับผลกระทบ ด้วยข้อมูลเหล่านี้ ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เพื่อจำกัดภัยคุกคาม และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ EDR ยังมีคุณสมบัติการวิเคราะห์หลักฐานของภัยคุกคามทางดิจิทัล การล่าภัยคุกคาม การเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ และกระบวนการตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้แบบอัตโนมัติอีกด้วย
ประโยชน์ของ EDR
ระบบ EDR มอบประโยชน์อันหลากหลายแก่การตรวจสอบอุปกรณ์ภายในเครือข่าย โดยเหตุผลสำคัญที่ควรมี EDR ไว้ในกลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ได้แก่
1. มอบการป้องกันเชิงรุกต่อภัยคุกคามและการโจมตีขั้นสูง
ซอฟต์แวร์ EDR ช่วยป้องกัน และปกป้องเครือข่ายจากการโจมตีทางไซเบอร์เชิงรุก ด้วยการตรวจจับ และกำจัดภัยคุกคามก่อนที่จะสร้างความเสียหายหรือทำให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหล ระบบนี้จะตรวจสอบกิจกรรมของอุปกรณ์ปลายทางและพฤติกรรมของผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถระบุภัยคุกคามรูปแบบใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยคุณสมบัตินี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากภัยคุกคามทางไซเบอร์มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา และมักมีความซับซ้อนเกินกว่าที่ระบบป้องกันอุปกรณ์ปลายทางแบบดั้งเดิมจะตรวจพบได้ ด้วยเหตุนี้ ระบบ EDR จึงช่วยให้สามารถตรวจจับ และรับมือกับการบุกรุกดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
2. การเพิ่มขึ้นของการทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid Work) ส่งผลให้เครือข่ายมีช่องโหว่มากขึ้น
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราอย่างมาก แม้ในโลกหลังการระบาด หลายบริษัทยังคงเลือกใช้รูปแบบการทำงานแบบผสมผสานหรือการทำงานทางไกลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของอุปกรณ์ปลายทางเครือข่ายก็นำมาซึ่งช่องโหว่ที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน
เมื่อผู้คนทำงานจากบ้านหรือสถานที่นอกสำนักงานมากขึ้น ส่งผลให้พื้นที่ที่อาจถูกโจมตีผ่านอุปกรณ์ปลายทางขยายวงกว้างขึ้นตามไปด้วย เพราะอุปกรณ์ปลายทางเหล่านี้สามารถกลายเป็นช่องทางสำหรับการโจมตีทางไซเบอร์ได้ ดังนั้นระบบ EDR จึงช่วยให้มั่นใจว่า เครือข่ายภายในองค์กรยังคงได้รับการปกป้อง ไม่ว่าจะเข้าถึงจากที่ใดก็ตาม
3. แฮคเกอร์อาจซ่อนตัวอยู่ในระบบเป็นเวลานาน
ปัจจุบันการโจมตีทางไซเบอร์สามารถดำเนินการได้อย่างเงียบเชียบภายในเครือข่าย และมักสร้างเส้นทางลับ (Backdoor) สำหรับเข้าถึงจากภายนอกเอาไว้ ด้วยศักยภาพในการค้นพบช่องโหว่ของซอฟแวร์ระบบปฏิบัติการ (Operative System) จากแหล่งภายนอกนี้ ส่งผลให้ระบบ EDR มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการตรวจจับภายในอย่างทันท่วงที และมีประสิทธิภาพ
4. รับรองการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Regulatory Compliance)
ภาครัฐตระหนักดีว่า การโจมตีทางไซเบอร์สามารถสร้างความเสียหายต่อประชาชนและประเทศชาติ ดังนั้นจึงได้กำหนดกรอบกฎระเบียบที่เข้มงวด ซึ่งบริษัทต่างๆ จำเป็นต้องจัดให้มีการป้องกันข้อมูลที่เพียงพอสำหรับลูกค้า หลายประเทศมีบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับการละเมิดกฎระเบียบด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยเฉพาะองค์กรที่ต้องจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ซึ่งจึงจำเป็นต้องใช้ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ขั้นสูง ส่งผลให้การนำระบบ EDR มาใช้ไม่เพียงแสดงถึงความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามข้อกำหนด แต่ยังช่วยป้องกันองค์กรจากค่าปรับมหาศาลที่อาจเกิดขึ้นจากการละเมิดความปลอดภัยของข้อมูล
5. โซลูชันอันชาญฉลาดที่สามารถนำไปใช้ได้จริง
การมีระบบรักษาความปลอดภัยระดับสูงไม่ได้รับประกันการรั่วไหลของข้อมูล และตีความข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการถูกละเมิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่โซลูชัน EDR ช่วยให้การประมวลผล และการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันช่องโหว่ที่มีอยู่ นอกจากนี้ การเข้าถึงข้อมูลด้านความปลอดภัยเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอด้วยเช่นกัน เพราะการตรวจจับ และการตอบสนองต่ออุปกรณ์ปลายทางถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ได้จริง และสำหรับมาตรการรับมือที่มีประสิทธิภาพ โดยมีทั้งเครื่องมือการวิเคราะห์ และแนวทางปฏิบัติจากผู้เชี่ยวชาญในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์
6. ป้องกันการสูญเสียทางการเงิน และข้อมูลรั่วไหลจากการโจมตีทางไซเบอร์
เหตุการณ์ด้านความปลอดภัยสามารถส่งผลกระทบทางการเงินต่อองค์กรได้ ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายต่อชื่อเสียงหรือค่าปรับจากการละเมิดกฎระเบียบ การโจมตีทางไซเบอร์ทำให้องค์กรเกิดค่าใช้จ่าย และสูญเสียรายได้ แต่ระบบ EDR สามารถมอบการป้องกันแบบครอบคลุมที่ช่วยป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์หรือการสูญเสียข้อมูลที่มีค่าใช้จ่ายสูงได้ ซึ่งช่วยลดต้นทุนโดยรวมในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์
7. คุ้มค่าคุ้มราคา
หากปราศจากความสามารถในการป้องกันที่ครอบคลุม กระบวนการแก้ไขปัญหาอาจยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง ในขณะที่ระบบ EDR สามารถช่วยลดระยะเวลา และค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ เพื่อลดความจำเป็นในการใช้มาตรการรุนแรง เช่น การปรับปรุงหรืออัปเดตซอฟแวร์ภายในระบบทั้งหมด พร้อมช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดชะงัก
องค์ประกอบของ EDR
ซอฟต์แวร์ EDR ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญหลายส่วนที่ทำงานร่วมกัน เพื่อมอบการป้องกันอุปกรณ์ปลายทางอย่างครอบคลุม ดังนี้
1. ซอฟแวร์ตัวแทน (Agent) ที่อุปกรณ์ปลายทาง
โปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งบนอุปกรณ์ปลายทางเพื่อเฝ้าระวังและปกป้อง ซึ่งทำหน้าที่รวบรวม และส่งข้อมูลไปยังระบบบริหารจัดการ EDR เพื่อวิเคราะห์
2. ระบบบริหารจัดการ EDR
ระบบจัดการแบบศูนย์กลางที่รับ และวิเคราะห์ข้อมูลจากซอฟแวร์ตัวแทน (Agent) ที่อุปกรณ์ปลายทาง โดยรับผิดชอบในการตรวจจับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น และแจ้งเตือนทีมไอที
3. ข้อมูลเชิงลึกด้านภัยคุกคาม
ระบบ EDR ใช้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภัยคุกคามที่รู้จัก เพื่อระบุ และวิเคราะห์ภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น
4. เครื่องมือวิเคราะห์
ระบบ EDR ใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และการวิเคราะห์ขั้นสูงในการตรวจจับภัยคุกคามที่ซับซ้อนสูง เครื่องมือเหล่านี้สามารถแยกแยะพฤติกรรมที่น่าสงสัยได้ แม้ว่าจะมีลักษณะที่คลุมเครือหรือคล้ายกับการใช้งานทั่วไป ช่วยให้การระบุภัยคุกคามมีความแม่นยำมากขึ้น ซึ่งวิธีตรวจจับแบบดั้งเดิมอาจไม่สามารถตรวจพบได้
5. การล่าภัยคุกคาม (Threat Hunting)
เครื่องมือ EDR ที่เหมาะสมควรสนับสนุนการล่าภัยคุกคาม เพื่อให้นักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยสามารถค้นหากิจกรรมที่เป็นอันตรายได้แบบเชิงรุก
6. การตอบสนองต่อเหตุการณ์
ในระบบ EDR ส่วนนี้ทำหน้าที่แจ้งเตือนทีมรักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น โดยฟังก์ชันการตอบสนองอัตโนมัติ ให้ข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นในการรับมือได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
องค์ประกอบเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อมอบโซลูชันการรักษาความปลอดภัย EDR ที่ครอบคลุม ซึ่งสามารถตรวจจับ และตอบสนองต่อการโจมตีทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนได้แบบเรียลไทม์
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกโซลูชัน EDR
การเลือกโซลูชัน EDR ที่เหมาะสมนั้นมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ควรคำนึงถึง เพื่อให้มั่นใจว่าซอฟต์แวร์ EDR ที่เลือกใช้จะมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนี้
1. ความสามารถในการขยายตัวของระบบ
โซลูชัน EDR ต้องสามารถรองรับจำนวนอุปกรณ์ปลายทางที่เพิ่มขึ้นได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน เมื่อองค์กรเติบโตขึ้น การใช้โซลูชัน EDR ที่สามารถปรับขนาดได้อย่างเต็มที่จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
2. ความยืดหยุ่นในการใช้งาน
โซลูชัน EDR ควรสามารถปรับแต่ง และยืดหยุ่นได้ตามความต้องการเฉพาะขององค์กร นอกจากนี้ยังควรสามารถปรับระดับการป้องกันให้เหมาะสมกับความเสี่ยง และช่องโหว่ที่เป็นจุดอ่อนของอุปกรณ์แต่ละเครื่องได้
3. การทำงานบนระบบคลาวด์
องค์กรควรลงทุนในโซลูชัน EDR ที่ทำงานบนระบบคลาวด์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการความปลอดภัย และความสามารถในการขยายตัวของระบบได้อย่างไร้รอยต่อ นอกจากนี้ยังช่วยลดความจำเป็นในการใช้เซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กร ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และภาระงานของทีมไอที
4. การบูรณาการ
เครื่องมือ EDR ควรสามารถทำงานร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยที่มีอยู่เดิมได้อย่างราบรื่น รวมถึงระบบ SIEM (Security Information and Event Management) หรือโซลูชันป้องกันภัยคุกคามอื่นๆ เพื่อให้มั่นใจว่า การตอบสนองต่อภัยคุกคามจะเป็นไปอย่างครอบคลุม และประสานงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. การสนับสนุนและการฝึกอบรม
โซลูชัน EDR จำเป็นต้องมีทีมสนับสนุนที่เชื่อถือได้ และตอบสนองรวดเร็ว ซึ่งหมายความว่า ผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ต้องพร้อมให้บริการตลอดเวลา และทีมไอทีต้องได้รับการฝึกอบรมการใช้งานได้อย่างเพียงพอ
การประเมินปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบจะช่วยให้สามารถเลือกโซลูชัน EDR ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะขององค์กร และปกป้องอุปกรณ์ปลายทางจากภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญ Sangfor สามารถส่งมอบโซลูชันการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคาม (EDR) ที่ดีที่สุดเพื่อช่วยปกป้องอุปกรณ์ปลายทางของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทียบ EDR กับ EPP
EPP หรือ Endpoint Protection Platform (แพลตฟอร์มป้องกันอุปกรณ์ปลายทาง) เป็นการรวมเอาเครื่องมือป้องกันไวรัสยุคใหม่ (Next-Generation Antivirus หรือ NGAV) เข้ากับไฟร์วอลล์ ระบบป้องกันอีเมล ตัวกรองเว็บไซต์ และระบบรักษาความปลอดภัยอื่นๆ เพื่อสร้างเป็นชุดรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจร โดยทั่วไปโซลูชัน EPP ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันภัยคุกคามที่รู้จักหรือภัยคุกคามที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกับที่เคยพบเจอมาก่อน ในขณะที่ EDR มีความสามารถในการตรวจจับและจัดการกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่หรือภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งสามารถหลุดรอดผ่านระบบรักษาความปลอดภัยแบบดั้งเดิมได้ อย่างไรก็ตาม ระบบ EPP หลายระบบได้พัฒนาไปอีกขั้น โดยผนวกความสามารถของ EDR เข้าไปด้วย เช่น การวิเคราะห์ภัยคุกคามขั้นสูง และการติดตามกิจกรรมของผู้ใช้งาน ส่งผลให้ระบบมีประสิทธิภาพในการรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
EDR และ XDR แตกต่างกันอย่างไร?
XDR (Extended Detection and Response) และ MDR (Managed Detection and Response) เป็นกลไกการตรวจจับภัยคุกคามที่ขับเคลื่อนด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ โดยความแตกต่างหลักระหว่าง XDR และ MDR กับ EDR อยู่ที่ขอบเขตการป้องกันและวิธีการ
XDR รวมทรัพยากรด้านความปลอดภัยทั้งหมดเข้าด้วยกันในโครงสร้างแบบไฮบริดขององค์กร ครอบคลุมถึงอุปกรณ์ปลายทาง เครือข่าย แอปพลิเคชัน อีเมล ระบบคลาวด์ และอื่นๆ ซึ่งเอื้ออำนวยให้เกิดการประสานงานในการป้องกัน ตรวจจับ และจัดการภัยคุกคามทางไซเบอร์ นอกจาก EDR แล้ว XDR ยังผสานการทำงานร่วมกับระบบอย่าง SIEM และ SOAR ด้วย แม้จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ แต่ XDR กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับศูนย์ปฏิบัติการความมั่นคงปลอดภัย (SOCs) ด้วยการรวมศูนย์จุดควบคุม แหล่งข้อมูล การวิเคราะห์ และการปฏิบัติการ
ในทางกลับกัน MDR เป็นบริการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์จากภายนอกองค์กร ซึ่งมุ่งเน้นการต่อต้านภัยคุกคามที่หลุดรอดผ่านระบบป้องกันภายในขององค์กร โดยให้บริการเฝ้าระวัง ตรวจจับ และจัดการภัยคุกคามตลอด 24 ชั่วโมง บริการ MDR ใช้ทีมนักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยที่มีความเชี่ยวชาญสูง โดยมักใช้เครื่องมือ EDR หรือ XDR ที่ทำงานบนระบบคลาวด์ ส่งผลให้ MDR เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับองค์กรที่ต้องการความเชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยหรือเทคโนโลยีที่เหนือกว่าทรัพยากรหรืองบประมาณที่มีอยู่
โซลูชัน EDR ของ Sangfor
ปฏิเสธไม่ได้ว่า EDR เป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ขององค์กรทุกแห่ง เพราะภัยคุกคามทางไซเบอร์มีวิวัฒนาการอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้การตรวจจับ และตอบสนองต่อการโจมตีแบบเรียลไทม์กลายมาเป็นปัจจัยที่สำคัญ ด้วยโซลูชันที่เหมาะสม องค์สามารถเฝ้าระวังอุปกรณ์ปลายทางเพื่อตรวจหากิจกรรมที่น่าสงสัยได้แบบเชิงรุก และดำเนินการตอบสนองได้ทันที เพื่อลดความเสี่ยงก่อนที่จะเกิดความเสียหายใดๆเพิ่มเติม โดยโซลูชัน EDR ที่ดีควรรองรับการขยายตัวได้ตามการเติบโตขององค์กร นอกจากนี้ยังควรมีความยืดหยุ่นในการติดตั้งและจัดการ รวมถึงสามารถทำงานร่วมกับโซลูชันรักษาความปลอดภัยอื่นๆ ได้
ที่ Sangfor Technologies เรานำเสนอการป้องกันอุปกรณ์ปลายทางระดับสูงด้วย Endpoint Secure โซลูชันขั้นสูง และครอบคลุมความสามารถในการตรวจจับ และตอบสนองต่อภัยคุกคามที่อุปกรณ์ปลายทางที่ดีที่สุด เพื่อความปลอดภัยของเครือข่ายและข้อมูล โดย Endpoint Secure ได้รับการออกแบบมาเพื่อตรวจจับ และตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ พร้อมทั้งนำเสนอตัวเลือกในการติดตั้งที่ยืดหยุ่น และสามารถทำงานร่วมกับโซลูชันรักษาความปลอดภัยอื่นๆ ได้ ด้วย Sangfor Endpoint Secure คุณจะได้รับความอุ่นใจ และมั่นใจว่า องค์กรของคุณได้รับการปกป้องจากภัยคุกคามที่ซับซ้อนที่สุดในปัจจุบัน
วิดีโอด้านล่างแสดงการจำลองการโจมตีของแฮกเกอร์ที่เริ่มต้นจากอีเมลฟิชชิ่ง และวิธีที่ Sangfor สามารถปกป้ององค์กรของคุณจากการโจมตีดังกล่าว รับชมเลย
เรื่องราวความสำเร็จของ EDR จาก Sangfor
- J&T Express บริษัทโลจิสติกส์ที่มีปริมาณการจัดส่งสูงสุดในอินโดนีเซีย ได้บรรลุความปลอดภัย และประสิทธิภาพสูงสุดด้วยการใช้โซลูชันความปลอดภัยของ Sangfor ร่วมกัน ได้แก่ Cyber Command, Next Generation Application Firewall, Endpoint Secure และ Internet Access Gateway
- โรงพยาบาลมิตรา เคลูอาร์กา ผู้นำด้านการดำเนินงานโรงพยาบาลชุมชนในอินโดนีเซียที่มีอัตรากำไรและความสำเร็จสูง ได้ใช้โซลูชันของ Sangfor ประกอบด้วย Next Generation Firewall, Sangfor Endpoint Secure และ Internet Access Gateway (IAG) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านความปลอดภัยของข้อมูลและการป้องกันมัลแวร์
- มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส) มหาวิทยาลัยชั้นนำที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ได้นำ Endpoint Detection and Response ของ Sangfor มาใช้ร่วมกับโซลูชันอื่นๆ ภายในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและอำนวยความสะดวกในการจัดการแบบรวมศูนย์ ช่วยให้มหาวิทยาลัยสามารถจัดการภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความท้าทายด้านความปลอดภัยในยุคดิจิทัลได้ดียิ่งขึ้น
เริ่มปกป้องอุปกรณ์ปลายทางของคุณตอนนี้ด้วย Sangfor Endpoint Secure, ติดต่อ Sangfor วันนี้เพื่อเรียนรู้วิธีที่เราสามารถช่วยคุณเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของคุณ