ในยุคปัจจุบันอินเทอร์เน็ตมีความสำคัญอย่างมากต่อชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในด้านการทำงานที่ช่วยให้องค์กรและบุคลากรสามารถเข้าถึงข้อมูล และติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกัน อินเทอร์เน็ตก็นำมาซึ่งความเสี่ยงต่างๆ เช่น การถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคลด้วยมัลแวร์ (Malware) การถูกหลอกลวงล้วงความลับหรือเงินในบัญชีด้วยการ  Phishing เป็นต้น ที่มักมากับอีเมลหรือแฝงอยู่ตามเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายได้มหาศาล และอาจส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อองค์กร ดังนั้นในวันนี้เราจะมาพูดถึง เทคโนโลยี SSL หรือ Secure Sockets Layers หนึ่งในตัวช่วยด้านการรักษาความขององค์กรที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้

SSL Certificate

SSL คืออะไร

SSL (Secure Sockets Layer) คือ เทคโนโลยีที่ช่วยรักษาความปลอดภัยในการสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ของคุณ เช่น คอมพิวเตอร์ มือถือ กับเว็บไซต์ต่างๆ เช่น เว็บไซต์ธนาคาร เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เป็นต้น

โดยหลักการทำงานของ SSL คือ การเข้ารหัสข้อมูลที่จะมีการส่งผ่านระหว่างอุปกรณ์ของคุณกับเว็บไซต์ที่คุณเข้า เพื่อทำให้ข้อมูลที่สำคัญ เช่น รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัตรเครดิต ไม่สามารถถูกดักจับหรือขโมยโดยบุคคลที่สามได้  เปรียบเหมือน SSL คือ กำแพงเมืองป้องกันคุณขณะที่คุณท่องอินเทอร์เน็ตอยู่นั่นเอง

ทั้งนี้ มีวิธีสังเกตได้ด้วยตัวเองว่าเว็บไซต์ไหนใช้ SSL อยู่ โดยสามารถเข้าไปดูที่ URL ของเว็บไซต์นั้นๆ หาก URL เริ่มต้นด้วย "https://" (สังเกตว่ามีตัว "s" ต่อจาก http) ก็แสดงว่าเว็บไซต์นั้นมีการใช้ SSL

SSL Certificate คืออะไร

ใบรับรอง SSL Certificate (Secure Sockets Layer Certificate) เป็นเสมือนใบอนุญาตที่ออกให้กับเว็บไซต์ เพื่อยืนยันตัวตนของเว็บไซต์นั้นๆ ว่าเป็นเว็บไซต์จริง ไม่ได้เป็นเว็บหลอกลวง หรือแอบแฝงมัลแวร์ เช่น  Ransomware , Trojan, หรือ Worm เอาไว้  ซึ่งสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต

โดยเมื่อองค์กรหรือเจ้าของเว็บไซต์ขอใบรับรอง SSL จากหน่วยงานออกใบรับรอง (Certificate Authority หรือ CA) ทางระบบจะสร้างคู่กุญแจให้เรา 1 คู่ ซึ่งประกอบไปด้วย

1. Public Key

กุญแจสาธารณะที่กุญแจที่ใช้ "ล็อก" ข้อมูล ซึ่งจะถูกฝังอยู่ในใบรับรอง SSL และถูกเผยแพร่ไปยังสาธารณะ ทำให้ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ โดยเมื่อเบราว์เซอร์ต้องการส่งข้อมูลที่เป็นความลับไปยังเว็บไซต์ เบราว์เซอร์จะใช้ Public Key ของเว็บไซต์นั้นๆ เพื่อเข้ารหัสข้อมูลก่อนส่ง

2. Private Key

Private Key คือ กุญแจลับส่วนตัวที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้คู่กับใบรับรอง SSL โดยเฉพาะ เจ้า Private Key นี้มีลักษณะเป็นไฟล์ข้อมูลที่เก็บรหัสที่ซับซ้อนไว้ ซึ่งจะถูกเก็บไว้เป็นความลับบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ติดตั้งใบรับรอง SSL 

โดย Key ทั้งสองประเภทจะทำงานร่วมกัน คือ เมื่อมีการส่งข้อมูลระหว่างเว็บไซต์และเบราว์เซอร์ของผู้ใช้งาน ข้อมูลจะถูกเข้ารหัสด้วย Public Key ที่ฝังอยู่ในใบรับรอง SSL ก่อน และสามารถทำการถอดรหัสได้ด้วย Private Key เท่านั้น ซึ่งหากถอดรหัสได้สำเร็จ แสดงว่าข้อมูลนั้นมาจากเว็บไซต์ที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ เพราะมีเพียง Private Key ที่ตรงกันเท่านั้นที่สามารถถอดรหัสได้ 

ยกตัวอย่างการทำงานของ Public และ Private Key เช่น สมมติว่าคุณต้องการซื้อสินค้าออนไลน์  และต้องกรอกข้อมูลบัตรเครดิตในเว็บไซต์ 

  1. เบราว์เซอร์ของคุณ จะตรวจสอบ SSL Certificate ของเว็บไซต์ และ รับ Public Key ของเว็บไซต์นั้น
  2. เบราว์เซอร์จะใช้ Public Key ในการเข้ารหัสข้อมูลบัตรเครดิต ก่อนส่งไปยังเว็บไซต์
  3. เว็บไซต์จะได้รับข้อมูลที่เข้ารหัส จากนั้นจึงใช้ Private Key ของตัวเองในการถอดรหัส เพื่ออ่านข้อมูลบัตรเครดิต และดำเนินการสั่งซื้อต่อไป

ประโยชน์ของการใช้ SSL Certificate

SSL Certificate มีประโยชน์ในหลายด้านต่อทั้งองค์กรผู้เป็นเจ้าของเว็บไซต์และผู้ใช้งาน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การทำธุรกรรมออนไลน์ และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ  

1. เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์

ผู้ใช้งานจะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อเห็นสัญลักษณ์ "https://" และไอคอนแม่กุญแจด้านซ้ายมือของแถบ URL ซึ่งบ่งบอกว่าเว็บไซต์นั้นได้รับการรับรองความปลอดภัยจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้มาแล้ว ป้องกันการปลอมแปลงเว็บไซต์ หรือการทำฟิชชิ่ง  Phishing ที่มิจฉาชีพมักใช้หลอกเอาข้อมูลส่วนตัว  เมื่อลูกค้าเห็นสัญลักษณ์เหล่านี้  ก็จะรู้สึกมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น  ในการทำธุรกรรมหรือกรอกข้อมูลส่วนตัวในเว็บไซต์ 

2. ช่วยปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน

SSL Certificate สามารถช่วยป้องกันการขโมยข้อมูลสำคัญจากการเข้าเว็บไซต์ได้ เช่น รหัสผ่าน ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลบัตรเครดิต ข้อมูลทางการธนาคาร โดยเป็นการช่วยป้องกันการดักจับข้อมูลและอ่านข้อมูล ในการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ของผู้ใช้งานกับเว็บไซต์เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณเข้าเว็บไซต์ที่มี SSL certificate ข้อมูลที่คุณส่งเข้าไปสู่เว็บไซต์ เช่น รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัตรเครดิต จะถูกทำการเข้ารหัส (Encrypt) และแปลงเป็นรหัสลับที่ใครก็อ่านไม่ออก ก่อนส่งต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ หมายความว่าต่อให้แฮ็กเกอร์จะขโมยข้อมูลไป แต่ไม่สามารถสามารถอ่านข้อมูลได้นั่นเอง

3. ช่วยในการจัดอันดับ Ranking บน SERP

ช่วยเว็บไซต์ของคุณให้ขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ในผลการค้นหาของ Google และ Search Engine อื่นๆ เนื่องจาก Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มี SSL Certificate เว็บไซต์ https:// มักจะมีอันดับการค้นหา (Search Ranking) ที่ดีกว่าเว็บไซต์ http:// ซึ่งหมายความว่า เว็บไซต์ขององค์กรมีโอกาสที่จะปรากฏในหน้าผลการค้นหา (Search Engine Results Page) บนหน้าแรกๆ มากขึ้น  ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า และเพิ่ม Organic Traffic ให้กับเว็บไซต์อีกด้วย

4. รองรับมาตรฐานและกฎข้อกำหนด

SSL Certificate  เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเว็บไซต์ในการปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อกำหนดด้านความปลอดภัย เช่น PCI DSS  สำหรับเว็บไซต์ที่รับชำระเงินผ่านบัตรเครดิต และ GDPR ที่เน้นการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล พูดได้ว่า SSL Certificate ช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกต้อง และหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น

ประเภทของ SSL Certificate

SSL Certificate แบ่งออกเป็นหลายประเภท โดยสามารถจำแนกได้ตามระดับการตรวจสอบ และคุณสมบัติการใช้งาน ดังนี้

1. แบ่งตามระดับการตรวจสอบ

  • Domain Validation (DV) SSL Certificate

ใบรับรอง DV SSL เป็นใบรับรองระดับพื้นฐานที่สุด ที่จะทำตรวจสอบเพียงแค่ว่า ผู้ขอใบรับรองเป็นเจ้าของโดเมนนั้นจริงหรือไม่ โดย Certificate Authority (CA) หรือผู้ออกใบรับรอง จะตรวจสอบผ่านอีเมลหรือ DNS Record ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ง่ายและรวดเร็ว ทำให้สามารถออกใบรับรองได้ภายในไม่กี่นาที 

ดังนั้น DV SSL จึงเหมาะสำหรับเว็บไซต์ทั่วไป บล็อก หรือเว็บไซต์ส่วนตัวที่ไม่ต้องแสดงข้อมูลองค์กร เนื่องจากมีระดับความน่าเชื่อถือต่ำสุด และไม่ได้แสดงข้อมูลบริษัทในใบรับรอง

  • Organization Validation (OV) SSL Certificate

OV SSL มีระดับการตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้น โดย CA จะตรวจสอบทั้งความเป็นเจ้าของโดเมนและข้อมูลองค์กร เช่น ชื่อบริษัท ที่อยู่ โดยตรวจสอบจากเอกสารทะเบียนการค้า ทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่า เว็บไซต์นั้นดำเนินการโดยองค์กรที่ถูกต้องตามกฎหมาย 

ใบรับรอง OV SSL เหมาะสำหรับเว็บไซต์ธุรกิจและองค์กร ที่ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือ โดยข้อมูลองค์กรจะปรากฏในใบรับรอง ช่วยให้ลูกค้ามั่นใจในการทำธุรกรรม หรือ การกรอกข้อมูลส่วนตัวบนเว็บไซต์

  • Extended Validation (EV) SSL Certificate

EV SSL คือ ใบรับรองที่มีระดับการตรวจสอบสูงสุด CA จะตรวจสอบอย่างเข้มงวด ทั้งความเป็นเจ้าของโดเมนและข้อมูลองค์กรตามมาตรฐานของ CA/Browser Forum ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่กำหนดขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่า เว็บไซต์นั้นๆ มีความปลอดภัยสูงสุด 

โดย EV SSL เหมาะสำหรับเว็บไซต์ธุรกรรมทางการเงิน เว็บไซต์ E-commerce และองค์กรขนาดใหญ่  ซึ่งเว็บไซต์ที่ใช้ EV SSL จะมีแถบที่อยู่เป็นสีเขียว และแสดงชื่อองค์กร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า

2. แบ่งตามคุณสมบัติการใช้งาน

  • Single Domain SSL Certificate

ใบรับรองประเภทนี้ออกแบบมาเพื่อใช้กับโดเมนเดียวเท่านั้น เช่น www.example.com เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีโดเมนเดียว และไม่ต้องการความยืดหยุ่นในการใช้งานกับ Subdomain

  • Wildcard SSL Certificate

Wildcard SSL มีความพิเศษคือ สามารถใช้ได้กับ Subdomain ทั้งหมด ของโดเมนหลัก เช่น blog.yourdomain.com, mail.yourdomain.com, shop.yourdomain.com ที่อยู่ภายใต้ yourdomain.com เป็นต้น จึงเหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มี Subdomain จำนวนมาก ช่วยประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายในการจัดการใบรับรอง

  • Multi-Domain SSL Certificate

ใบรับรองประเภทนี้ ช่วยให้สามารถ ใช้ SSL Certificate เดียว กับหลายโดเมนได้ เช่น www.example.com, www.example.net, www.example.org ซึ่งเหมาะสำหรับองค์กรที่มีเว็บไซต์ในหลายโดเมน ช่วยลดความยุ่งยาก และค่าใช้จ่ายในการจัดการใบรับรอง

นอกจาก SSL แล้ว ยังมีเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เป็นเทคโนโลยี Data Loss Prevention ซึ่งช่วยป้องกันการสูญหายของข้อมูลสำคัญ ยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นบ่อยๆ กับองค์กรอย่างการ Phishing ซึ่งเป็นวิธีการหลอกลวงทางอีเมลหรือช่องทางอื่นๆ เพื่อให้พนักงานในองค์กรเผยข้อมูลส่วนบุคคล ยกตัวอย่างเทคโนโลยี Data Loss Prevention เช่น

  • ไฟร์วอลล์ (Firewall) ที่เป็นเหมือนกำแพงที่คอยตรวจสอบและเป็นด่านปราการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลขององค์กรคุณจากภายนอก โดยเฉพาะ next generation firewall อย่าง Sangfor NGFW หรือ Next-Generation Firewall ที่เป็นเทคโนโลยีไฟร์วอลล์รุ่นล่าสุดที่ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างกฎไฟร์วอลล์ที่ละเอียดยิ่งขึ้น
  • EDR (Endpoint Detection and Response) ที่เป็นเหมือนระบบรักษาความปลอดภัยภายในอุปกรณ์ของคุณ ที่คอยตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคาม อย่าง มัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) ที่พยายามเข้ามาขโมยหรือล็อกข้อมูลของคุณ  
  • MDR (Managed Detection and Response) เป็นบริการที่มีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยตรวจสอบและตอบสนองต่อภัยคุกคามให้องค์กรของคุณ 

หากองค์กรของคุณกำลังมองหาโซลูชันด้านความปลอดภัยที่ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นสำหรับเว็บไซต์ เครือข่าย หรือข้อมูลขององค์กร สามารถติดต่อ Sangfor ผู้จำหน่ายโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานไอทีชั้นนำระดับโลก เพื่อปรึกษาและหาแนวทางการป้องกันเครือข่ายที่เหมาะสมกับความต้องการขององค์กรคุณ

Search

Get in Touch

Get in Touch with Sangfor Team for Business Inquiry

Name
Email Address
Business Phone Number
Tell us about your project requirements

Related Glossaries

Cyber Security

What is Network Configuration: A Comprehensive Guide

Date : 19 Feb 2025
Read Now
Cyber Security

Network Security การรักษาความปลอดภัยเครือข่ายที่สำคัญต่อองค์กร

Date : 10 Feb 2025
Read Now
Cyber Security

What Is Enterprise Mobility Management (EMM)?

Date : 04 Jan 2025
Read Now

See Other Product

Cyber Command - NDR Platform - Sangfor Cyber Command - แพลตฟอร์ม NDR
Sangfor Endpoint Secure
Internet Access Gateway (IAG)
Sangfor Network Secure - Next Generation Firewall (NGFW)
Platform-X
Sangfor Access Secure - โซลูชัน SASE